“วงค์ ตาวัน”
เมื่อผลคดีครูจอมทรัพย์ ปรากฏชัดว่า ไม่ใช่แพะ อันหมายถึงเครดิตและความน่าเชื่อถือของตำรวจได้ฟื้นกลับคืนมา
ขณะเดียวกัน ย่อมต้องเกิดคำถามกับฝ่ายกระทรวงยุติธรรม ที่สนับสนุนอุ้มชู กรณีเข้าร้องเรียนให้รื้อคดีของครูจอมทรัพย์
เมื่อคดีออกมาอย่างนี้แล้ว จะว่าอย่างไร!?
พ.ต.อ.ดุษฎี อารยวุฒิ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ผู้มีบทบาทสำคัญในตอนที่ครูจอมทรัพย์เข้าพึ่งพิง
ได้ออกมาตอบคำถามต่อคนในสังคม หลังผลคดีออกมาเช่นนี้ โดยพยายามอธิบายว่า ในเบื้องต้นได้ส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบข้อมูลแล้ว ก่อนจะยื่นเรื่อง ขอให้ศาลพิจารณารื้อฟื้นคดีใหม่
มาทราบในภายหลังว่า พยานมีพิรุธ ไม่น่าเชื่อถือ!!
แต่ก็ย้ำว่า กระทรวงยุติธรรมเป็นหน่วยงานเพื่อช่วยเหลือประชาชนให้เข้าถึงความยุติธรรม แต่หลังจากนี้การช่วยเหลือจะต้องมีการพิจารณาตามหลักเกณฑ์
ฟังแล้วเข้าใจว่า จากนี้จะพยายามรอบคอบมากขึ้น กระมัง
พูดกันตรงๆ คดีครูจอมทรัพย์ เป็นบทเรียนครั้งใหญ่ของกระทรวงยุติธรรม
แน่นอนว่า โดยหลักการ เมื่อมีการร้องเรียนสงสัยการทำงานของตำรวจ ต้องรับฟังเสียงนั้น เพื่อให้เป็นที่พึ่งพิงได้
ทั้งต้องทำหน้าที่ตรวจสอบและถ่วงดุลตำรวจด้วย
เพียงแต่กระบวนการตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้น คงต้องเป็นมืออาชีพมากกว่านี้!
ไม่เช่นนั้นอาจสร้างความปั่นป่วนและกระทบต่อ ภาพรวมของกระบวนการยุติธรรมมากกว่า
อย่างเรื่องนี้ตำรวจก็โดนด่าฟรีไปแล้ว
แถมเกือบจะเข้าทางพวกนักปฏิรูปที่จ้องแต่จะปฏิรูปองค์กรตำรวจอย่างเดียว ทีองค์กรอื่นๆ เช่น กองทัพ กลับหงอไม่กล้าแตะต้อง
โดยนักปฏิรูปก็พูดเป็นอยู่เรื่องเดียวคือ ต้องแยกงานสอบสวนออกไปจากตำรวจ
แต่ผลจากคดีครูจอมทรัพย์ คงเลิกพูดการ แยกงานสอบสวนไปจากตำรวจได้แล้ว!
เอาเป็นว่าคดีครูไม่แพะ คงจะเป็นบทเรียนราคาแพงให้กับหน่วยงานของกระทรวงยุติธรรม
ต้องมีการสอบสวนข้อเท็จจริงเพื่อสรุปปัญหา อย่างเป็นเรื่องเป็นราว
แต่ก็อาจไม่จบแค่นี้
เพราะมีผู้ยื่นร้องให้ตรวจสอบกระบวนการทำงานในคดีนี้แล้ว ว่ารอบคอบหรือไม่
รวมทั้งให้ตรวจสอบการใช้งบประมาณในการทำคดีนี้ด้วย!?!