คอลัมน์ ข่าวสดสุขภาพ : เรียนรู้‘มะเร็งตับ’ สัญญาณเตือนก่อนป่วย

เรียนรู้‘มะเร็งตับ’ – โรคมะเร็งตับยังคงเป็นสาเหตุการตายอันดับหนึ่งของมะเร็งทั้งหมด เมื่อเป็นแล้วมีโอกาสเสียชีวิตได้ถึง 87% หรือในทางกลับกันมีโอกาสอยู่รอดเพียง 13% เท่านั้น หากมีสัญญาณเตือน น้ำหนักลด ท้องอืด แน่นท้อง ควรรู้เท่าทัน ระวังป้องกันตนเองให้ห่างไกลจากมะเร็งตับ

ศ.พิเศษ นพ.ธีรวุฒิ คูหะเปรมะ แพทย์ศัลยกรรมมะเร็ง และผู้อำนวยการโรงพยาบาลมะเร็งกรุงเทพวัฒโนสถ กล่าวว่า มะเร็งตับประกอบด้วย มะเร็งชนิดที่เกิดขึ้นจากเซลล์ที่อยู่ในตัวของตับเองที่พบได้บ่อยในประเทศไทยมีอยู่ 2 ชนิด คือ

1.มะเร็งตับชนิดเซลล์ท่อน้ำดีในตับ เป็นมะเร็งที่เกิดจากเซลล์ที่บุท่อน้ำดีที่อยู่ในตับ สาเหตุมาจากโรคพยาธิใบไม้ในตับ พบได้บ่อยทางภาคอีสาน รวมถึงการรับประทานอาหารบางชนิดที่มีสารก่อมะเร็ง เช่น สารดินประสิว ที่มีอยู่ในอาหารประเภทหมักและอาหารจำพวกรมควัน เป็นต้น

มะเร็งตับชนิดเซลล์ท่อน้ำดีนี้การตรวจค้นหาระยะเริ่มแรกยังไม่มีวิธีการที่ดี และเมื่อเป็นแล้ววิธีการรักษาจะค่อนข้างยุ่งยาก และผลการรักษายังไม่ดีเท่าที่ควร ดังนั้น การป้องกันไม่ให้เกิดมะเร็งชนิดนี้ที่ดีที่สุดคือ งดการรับประทานปลาน้ำจืดดิบ และอาหารที่มีสารดินประสิวปนเปื้อน

 

2.มะเร็งตับชนิดเซลล์ตับ สาเหตุของการเกิดมะเร็งชนิดเซลล์ตับคือการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีและซี ซึ่งสามารถติดต่อได้ทางเลือด การติดจากแม่ไปสู่ลูกในครรภ์ ทางเพศสัมพันธ์ เมื่อเชื้อไวรัสเข้าไปอยู่ในเซลล์ตับก็สามารถกลายเป็นตับอักเสบเรื้อรังหรือกลายเป็นพาหะติดต่อผู้อื่นได้โดยตัวเองไม่มีอาการ

นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ทำให้กลายเป็นมะเร็งตับได้ เช่น ผู้ป่วยตับแข็งที่มาจากการดื่มแอลกอฮอล์จัด หรือจากไขมันพอกตับเป็นเวลานานๆ รวมถึงสารพิษที่ปนเปื้อนอยู่ใน ถั่วลิสง พริกแห้ง กระเทียม ธัญพืชต่างๆ ซึ่งมาจากเชื้อราที่มีสารอะฟลาทอกซิน โดยสารนี้จะเป็นตัวเสริมให้เป็นมะเร็งเซลล์ตับในผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีได้ง่ายขึ้น

ศ.พิเศษ นพ.ธีรวุฒิ คูหะเปรมะ

การป้องกันมะเร็งตับชนิดเซลล์ตับ คือการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี และการหลีกเลี่ยงการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีและซี ทางกระแสเลือดหรือเพศสัมพันธ์จากผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง และมะเร็งตับที่เกิดจากมะเร็งชนิดอื่นๆ กระจายมายังตับได้ง่าย โดยมะเร็งชนิดนี้จะพบในประเทศแถบตะวันตกมากกว่าประเทศในแถบเอเชีย

ศ.พิเศษ นพ.ธีรวุฒิ ล่าวอีกว่า มะเร็งตับในระยะแรกนั้นมักไม่แสดงอาการ แต่เมื่อโรคมะเร็งโตมากขึ้นผู้ป่วยอาจมีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ท้องอืด หรือมีอาการปวดหรือเสียวชายโครงด้านขวา จุกเสียด แน่นท้อง อาจจะปวดร้าวไปยังไหล่ขวา หรือใต้สะบักด้านขวา

เมื่อมะเร็งทำลายหน้าที่ของตับมากขึ้นหรือเกิดการอุดตันของท่อน้ำดี ผู้ป่วยก็จะมีอาการตัวเหลือง ตาเหลือง ปัสสาวะมีสีเหลืองเข้ม อาจจะมีอาการท้องบวม ขาบวม บางรายก็จะมีไข้ต่ำๆ โดยไม่ทราบสาเหตุ และเมื่อมะเร็งเป็นมากแล้วสามารถแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่นๆ ได้ เช่น กระดูก

การตรวจเพื่อค้นหามะเร็งตับระยะแรกเริ่มนั้น สำหรับมะเร็งท่อน้ำดียังไม่มีวิธีใดดีที่สุด แต่สำหรับมะเร็งตับ และเซลล์ตับนั้น สามารถเฝ้าระวังโดยการตรวจอัลตราซาวน์ตับ หรือตรวจเลือดหาสารบ่งชี้มะเร็งตับที่เรียกว่า Alpha-fetoprotein(AFP) ทุก 6-12 เดือน

ซึ่งมีหลักฐานว่า จะสามารถค้นหามะเร็งตับระยะแรกเริ่มได้ ซึ่งเมื่อพบว่า มีก้อนผิดปกติในตับแล้ว การวินิจฉัยโรคมะเร็งตับก็อาจจะตรวจด้วย CT scan หรือ MRI ตับ ในบางรายอาจจำเป็นต้องเจาะชิ้นเนื้อมาตรวจ

การรักษาโรคมะเร็งตับ จำเป็นต้องมีการวางแผนการรักษาโดยทีมแพทย์ที่มีความชำนาญในการรักษามะเร็งตับ เพื่อหาวิธีการที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย

มะเร็งตับเป็นมะเร็งที่ป้องกันได้ หากมีการตรวจคัดกรอง เฝ้าระวัง และพบในระยะแรกเริ่มเป็นวิธีที่ดีและผู้ป่วยมีโอกาสในการรักษาหาย

 

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน