ภารกิจหลอน (ตอนแรก)

คอลัมน์ หลอน

โดย…นทธี ศศิวิมล

ภารกิจหลอน – อันที่จริงผมไม่น่ารับปากพวกมันเลย ก็แค่ยอมแพ้ไปตั้งแต่แรก ป่านนี้ผมคงได้ไปนั่งกินข้าวอร่อยๆ ที่แม่ทำ อาบน้ำให้สดชื่นสบายตัว ใส่ชุดนอนตัวโปรด ซุกในผ้าห่มอุ่นๆ ป่านนี้คงหลับสบายไปแล้ว ผมคิดพลางสะอื้น

มองไปรอบๆ ตัว กลางป่าช้าเก่า ผมเห็นสิ่งต่างๆ เป็นเพียงเงาเลือนราง เห็นเงาไหวโยกไกวตะคุ่มๆ ไม่มีรูปร่างชัดเจน ภายใต้แสงสลัวของจันทร์ครึ่งดวง ทีแรกผมคิดว่า พวกมันจะยอมให้ผมพกมือถือติดตัวได้ อย่างน้อยเอาไว้เปิดไฟฉายส่องทาง หรือเล่นเกมฆ่าเวลาจนกว่าจะครบ 15 นาที แต่ตอนที่จะเดินเข้ามาพวกมันกลับริบเอาไปหมด

“ถ้าเอามือถือไปมันก็ไม่ท้าทายสิวะ ลูกผู้ชายที่แท้จริง มันต้องกล้าเผชิญความเงียบ ความมืด ไม่มีเพื่อน ต้องจัดการความกลัวด้วยตัวเองได้” ไอ้ตั้งโอ๋ว่าใส่หน้าผม “หรือมึงกลัว ไม่กล้า ก็ยอมแพ้มาแต่แรก”

ตอนนั้นผมโกรธจนหน้าแดง “กูไม่กลัวโว้ย” ผมคำรามกลับ “มึงเตรียมตังค์ห้าร้อยของมึงไว้เลย”

มันก็แค่ความอยากท้าทาย อยากทำตามการ์ตูนญี่ปุ่น ภารกิจปิดเทอมฤดูร้อนอะไรพวกนั้น ที่ให้เข้าไปนั่งคนเดียวในสุสานเท่ากับเวลาที่กำหนด ถ้าทำได้ถือเป็นผู้กล้า ผมกับเพื่อนอีกสองคนพากันมานอนบ้าน ตั้งโอ๋ แล้วบ้านมันอยู่ห่างออกมาจากตัวหมู่บ้าน แถมด้านหลังห่างไปราวกิโลนึงเป็นป่าช้าเก่า จู่ๆ มันก็คิดภารกิจนี้ขึ้นมา โดยใช้เงินในกระปุกออมสินตัวเองเป็นเดิมพัน เงินห้าร้อยบาท แลกกับการนั่งในป่าช้าคนเดียวครึ่งชั่วโมง

ทีแรกพวกเราสามคนที่เหลือก็ยังตื่นเต้นสนุกสนานกันดี แย่งกันอาสาเพราะอยากได้เงิน 500 นั่น จนต้องโอน้อยออก เป่ายิงฉุบ ที่จริงผมแพ้ด้วยซ้ำ แต่พอไอ้ตั้งโอ๋เดินนำ เอาไฟฉายพ่อส่องทางมาเรื่อยๆ ทีแรกยังเป็นทางลูกรังกว้างขนาดรถวิ่งได้ แต่พอมาถึงจุดที่ต้องเข้าไปนั่งคนเดียว เพื่อนอีกสองคนนั่นก็หน้าเสีย ก็ป่ามันทั้งรกทั้งทึบ มองเห็นทางเดินเท้าแคบๆ เล็กนิดเดียว ผู้ใหญ่ตัวโตๆ ก็คงไม่กล้าเดินผ่านด้วยซ้ำในเวลาแบบนี้ แล้วจะไม่ให้เด็กๆ อย่างเรากลัวได้ยังไง

ตั้งโอ๋สาดไฟฉายส่องเข้าไปด้านใน แสงไฟจากไฟฉายแรงสูงส่องกระทบฐานปูนขาวๆ ห่างจากถนนราวห้าร้อยเมตร สุดทางเดินเท้านั้น “เห็นไหม นั่นน่ะ เชิงตะกอน ที่เขาเอาศพคนตายมาเผา คนที่จะเล่นต้องเข้าไปนั่งตรงฐานปูนของเชิงตะกอนนั่น พอครบตามเวลา กูกับคนที่เหลือจะเข้าไปรับกลับมา ง่ายแค่นี้เอง”

พอเห็นเราสามคนเงียบไป เริ่มลังเล มันก็โมโห เริ่มด่าว่าและดูถูก ว่าพวกเราเป็นพวกปอดแหก ไม่เป็นลูกผู้ชาย ผมเองเห็นว่า ชักจะเริ่มงานกร่อย เลยรับอาสาทำภารกิจนี้ให้จบด้วยตัวเอง

ตอนขาเดินเข้าไป แสงจากไฟฉายของ ตั้งโอ๋ยังส่องทางให้อยู่ พอเห็นรำไร แต่กระนั้นก็ยังต้องฝ่าดงหญ้า กิ่งไม้เล็กๆ ที่ยื่นมาระตามรายทาง ตอนนั้นยังไม่ทันนึกถึงผีสาง คำพูดเตือนของพ่อแม่ก็ลอยเข้ามาในหัวก่อนแล้ว “อย่าออกไปเดินตามป่าหญ้ากลางคืนนะลูก งูเงี้ยว เขี้ยวขอ ตะขาบแมงป่อง พวกสัตว์มีพิษหากินกลางคืน ต่างคนต่างมองกันไม่เห็น ไปเดินเหยียบมันเข้ามันจะกัดเอา เมื่อตอนเด็กๆลูกเคยโดนตะขาบกัดเท้า ไข้ขึ้นป่วยหนักถึงต้องนอนโรงพยาบาลเลย ลูกจำได้ไหม”

จำได้สิ ผมจำได้แม่น ตอนนั้นปวดขา แทบจะดิ้นตาย นอนโรงพยาบาลฉีดยาอยู่ตั้งสามวัน ตะขาบยักษ์ตัวหนากว่าหัวแม่โป้งเท้า หลังมันเงาเขียวปัด ผมร้องลั่นบ้าน แม่พยายามกระชากตัวมันออกจากน่องผม แต่มันไม่ยอมปล่อยปาก จนเกิดบาดแผลข่วนลากเป็นทางยาวเหมือนใบมีดกรีด พ่อเป็นคนเอาไม้หน้าสามมาฟาดหน้าตาเหมือนเอเลี่ยนที่มาจากนอกโลก นึกถึงขึ้นมาก็ขนลุกซู่ ขาสั่นจนเกือบก้าวเดินต่อไปไม่ออกแล้ว

“เอ้า หยุดทำไมวะ เดินต่อไปสิโว้ย” เสียงไอ้ตั้งโอ๋ตะโกนไล่หลังมา “อีกหน่อยเดียวก็ถึงเชิงตะกอนแล้ว มึงจะเอาไหมห้าร้อยน่ะ”

“เออๆ รู้แล้วน่า” ผมตะโกนตอบ “ถ้ากูทำได้แล้ว มึงอย่ามาโกงกูทีหลังก็แล้วกัน”

การต้องมานั่งในที่มืดๆ แบบนี้แถมถูกริบมือถือไป เหมือนถูกคู่แข่งเตะสกัดขา สมาธิกระเจิงไปตามสิ่งแวดล้อมเพราะไม่มีอะไรดูฆ่าเวลา แต่กระนั้นผมก็ไม่ประมาทหรอกครับ ที่ข้อมือผมยังมีนาฬิกาที่มีพรายน้ำ แม่เคยซื้อให้ตอนวันเกิดปีที่แล้วพกอยู่อีกหนึ่งเรือน เพื่อกันพวกมันตุกติก ผมเลยพกมาด้วย อย่างน้อยก็เอาไว้ใช้ดูเวลาได้ ว่าครบตามกำหนดหรือยัง

ตอนที่มาถึงเชิงตะกอน รอบๆ เชิงตะกอนเป็นดินลานว่างๆ รอบๆ เหมือนถูกถางเอาไว้ให้เป็นบริเวณประกอบพิธีกรรม บ้านผมอยู่คนละหมู่บ้าน และคนที่หมู่บ้านผมก็ไม่นิยมเผาศพที่ป่าช้าแบบนี้นานแล้ว เอาไปเมรุที่วัดหมด จินตนาการของผมเกี่ยวกับเรื่องของศพที่ต้องถูกเอามาเผาที่นี่จึงเพริดไปไหนต่อไหน แต่ก็นั่นแหละครับ มันยังน้อยกว่าสิ่งที่ผมต้องเจอจริงๆ ในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้มาก

(อ่านต่อตอนจบวันพรุ่งนี้)


ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน