เป็นแม่ไม่ง่าย – เรากับสามีห่างกันสามสิบปีพอดี ตอนมีลูกสาว เราอายุแค่สิบแปด สามีเป็นเพื่อนพ่อ เราเกิดมามีเท้าข้าวขวาเป็นเท้าปุก เราเป็นลูกสาวคนเล็กสุดท้อง มีพี่สาวกับพี่ชายอีกอย่างละสองคน ทุกคนมีครอบครัว ย้ายไปอยู่ที่อื่นกันหมดตั้งแต่เราเล็กๆ แล้ว

แม่ของเราเสียก่อนพ่อจะเสียสองปี ก่อนพ่อจะตายพ่อฝากฝังเรากับเพื่อนพ่อที่สนิทกันมาก ซึ่งก็คือสามีของเรา ด้วยความสงสารสามีเราก็รับปากพ่อว่าจะดูแลให้ พอพ่อเสีย เราก็ไปอยู่กับสามีที่บ้านเขา ช่วยเขาดูแลบ้าน เรามีลูกด้วยกันคนนึง


ตอนแรกสามีก็ทำสวนปาล์ม มีรายได้ดีพอสมควร แต่โชคร้ายเขาเกิดอุบัติเหตุ ทำให้เป็นอัมพฤกษ์ ร่างกายซีกซ้ายจะอ่อนแรงกว่าซีกขวามาก การดูแลสวนก็ทำได้ไม่ดี สวนปาล์มก็ถูกลูกน้องโกง จนที่สุดเราเหลือแต่บ้าน รายได้หายไปหมด เราต้องหันมาทำขนมหวานไปขายที่ตลาด สามีถึงแม้จะไม่แข็งแรง ดูเหมือนคนพิการไม่ค่างจากเรา แต่เขาก็ช่วยเข็นรถเข็นไปที่ตลาดให้ เราต้องทั้งเลี้ยงลูก ขายขนมและดูแลบ้านดูแลสามี เราเหนื่อยมาก แต่มันก็ผ่านมาได้

เราบอกตามตรงไม่ค่อยได้ดูแลลูกเท่าไหร่ แต่ลูกก็โตของเขามาเรื่อยๆ โชคดีที่เขาเรียนหนังสือเก่ง ได้ทุนโรงเรียนเรียนอยู่ตลอดทุกระดับชั้นจนเข้ามหาวิทยาลัยได้ เขาไปเรียนที่กรุงเทพฯ นานๆ ติดต่อมาที เราก็อยู่กับสามี ก็ดูแลกันไป ลูกเรียนจบ เราก็อายุสี่สิบแล้ว สามีไม่ต้องพูดถึง อายุเจ็ดสิบ เขาออดๆแอดๆ เป็นเบาหวานกับโรคหัวใจ ต้องเข้าเมืองไปรับยาทุกๆ สองเดือน ตัวเราเองก็ยังทำขนมขายมาตลอด เป็นรายได้เลี้ยงตัวกับสามี


จนเมื่อปลายปีที่แล้ว ลูกสาวโทรมาบอกว่าจะขอกลับมาอยู่บ้าน ตอนแรกเราก็ดีใจนะที่ลูกอยากกลับมาอยู่ด้วย แต่พอเขามา ปรากฏว่าเขาท้องได้สองเดือนแล้ว ผู้ชายไม่รับเป็นพ่อของเด็ก ลูกสาวอายเพื่อน อายคนที่ทำงาน เลยลาออก กลับมาอยู่บ้านได้ไม่ถึงเดือน ก็เกิดโควิด-19 วันที่เขาตกบันได เราไปขายขนมที่ตลาด เพื่อนบ้านขี่มอเตอร์ไซค์ไปบอกที่ตลาด เราไปดูที่โรงพยาบาล ลูกสาวแท้งแล้ว

ลูกสาวเราเสียใจ เราก็เสียใจ คนเป็นแม่นะ ทั้งๆ ที่เด็กจะเกิดมาไม่มีพ่อ แต่ลูกสาวเขาก็รักของเขา บอกว่าตั้งใจจะเลี้ยงให้ดี เราเองพยายามให้ลูกสบายใจ ก็ชวนลูกสาวทำขนมทุกวัน ทำเสร็จก็เข็นๆ ดันๆ ไปขายที่ตลาด แต่ขนมมันก็ขายยาก ขายไม่ออกเลย โดยเฉพาะช่วงสองเดือนแรกที่มีข่าวโควิด คนกลัวไม่กล้าซื้อ เราใส่หน้ากากอนามัยปิดปากปิดจมูก ใส่ถุงมือขายของ ไม่ใช่ไม่ระวัง มีแอลกอฮอล์เจลให้ลูกค้าล้างมือด้วย แต่ก็ขายยาก ช่วงแรกเหลือกลับบ้านก็เอาไปให้เพื่อนบ้านช่วยกิน แต่นานเข้า คนเขาก็เบื่อ ไม่ค่อยมีใครอยากได้ เราก็ทำขนมน้อยลงนะ แต่ขนาดว่าน้อยก็ยังขายไม่ดีเลย เหลือทุกวันจนกำลังจะคิดเลิกขาย

ลูกสาวให้กำลังใจ เขาบอกจะช่วยไปขายที่ตลาดด้วย เอาไงเอากัน ปรากฏว่า คงเพราะเขาหน้าตาดีหรืออะไรไม่รู้ ขายดีขึ้นทุกวัน ลูกสาวเราแรกๆ ก็อาย ตักขนมใส่ถุงขัดๆ เขินๆ มัดยางวงก็ไม่แน่น เคยหมุนยางวงจนถุงขนมพลัดหลุดมือก็มี


ต่อมาเขาก็ขายคล่องขึ้น กล้าเรียกลูกค้า กล้าพูดกล้าจามากขึ้น แล้วคนคงจะชินกับโควิด บ้านเราก็มีข่าวคนติดน้อยด้วยมั้ง ขนมหวานเราก็กลับมาขายดี หมดทุกวันจนต้องเพิ่มปริมาณ เพิ่มชนิด

ทุกวันนี้ก็ขายดีเหมือนตอนไม่มีโควิดแล้ว เราสนิทสนมกับลูกสาวมากขึ้น ยอมรับว่ายิ่งตอนลูกวัยรุ่น เราแทบไม่มีเวลาให้เขา ไม่ได้สนใจลูก มัวแต่สนใจทำมาหากิน ดูแลบ้านช่อง ดูแลสามีให้รอดไปวันๆ ลูกสาวเองก็ยอมรับว่าเข้าใจแม่มากขึ้น ก็ตอนที่กำลังจะเป็นแม่คนนี่แหละ ขนาดเขาอุ้มท้องแค่หกเดือน ยังอินขนาดนี้ ถ้าได้คลอดลูก ได้มีลูก ได้เลี้ยงคงจะเข้าใจความเป็นแม่คนมากกว่านี้แน่นอน

ทุกวันนี้ความสัมพันธ์ของเรากับลูกเหมือนเป็นอีกชีวิตเลย พูดตลกๆ ก็ต้องขอบคุณเวลาเจ็ดแปดเดือนที่ผ่านมาของเจ้าโควิดและการที่ผู้ชายคนนั้นทำลูกสาวเราท้องแล้วไม่ยอมรับ แต่อย่างว่าชีวิตมันมีทางของมันอยู่แล้ว เราต้องยอมรับ เข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นและทำทุกวันให้ดีที่สุด การที่ไม่ท้อ ไม่ถอย อดทน ขยัน ทำให้ทุกอย่างผ่านไปได้ มันเป็นความจริงของชีวิตจริงๆ

โดย…ขึ้นหนึ่งค่ำ

ที่มาเรื่อง : คุณแม่ท่านหนึ่ง จ.ชุมพร

ภาพ : Pixabay

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน