อยู่เสมือนรัฐประหาร? – ครม.เห็นชอบประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรง เป็นเวลา 1 เดือน นี่คือนักการเมืองจากเลือกตั้ง? แม้รู้กันประยุทธ์เป็นใหญ่ แต่ไม่มีปากเสียงเลย ทั้งที่รู้ว่าจะกระทบทั้งการเมืองเศรษฐกิจ ภาพลักษณ์ของประเทศ แค่ 2 วันหุ้นตก 30 จุด

101 คณาจารย์นิติศาสตร์ชี้ชัด ประชาชนมีเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบ ปราศจากอาวุธ การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง ต้องเป็นกรณีที่มีการก่อการร้าย การใช้กําลังประทุษร้ายต่อชีวิต ร่างกาย หรือทรัพย์สิน หรือมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่ากระทำรุนแรงกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ ความปลอดภัยในชีวิตหรือทรัพย์สินของรัฐหรือบุคคล รัฐบาลจึงไม่อาจประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรงเพื่อใช้กับสถานการณ์ที่ยังอยู่ในวิสัยที่ใช้กฎหมายปกติแก้ไขได้

พอใช้แล้วเป็นไง ก็บานปลาย เพราะประชาชนไม่พอใจ กับการใช้บังคับกวาดจับแกนนำ ไม่ได้ประกัน ทั้งที่บางคนไม่ใช่แกนนำ และเป็นคดีก่อนมีประกาศฉุกเฉินร้ายแรง

ม็อบคืนพฤหัสฯ จึงมาเกินคาดหมาย คราวนี้เกินแสนจริงๆ เบิ้มยิ่งกว่าครั้งไหน ตำรวจโดนล้อมไว้หมด ทำได้แค่จับลูกจ้างบริษัทเครื่องเสียง กับขู่ออกอากาศ จะจับย้อนหลัง พ่อแม่ผู้ปกครองปล่อยเด็กมาม็อบมีความผิดเหมือนพ่อแม่เด็กแว้น วิษณุ เครืองาม ว่ามาเป็นแสนก็ผิดทั้งแสน ฯลฯ

ถามจริง จะทำได้ไง นี่คนชั้นกลางในเมืองแทบทั้งนั้นไม่เหมือนสังหารเสื้อแดงไพร่ คนหนุ่มสาววัยทำงาน เด็กมหาวิทยาลัย เด็กนักเรียน ร.ร.ระดับท็อป ที่อยู่ใกล้ๆ ย่านนั้นมากันเกือบหมด รัฐบาลจะกวาดล้างอนาคตของชาติ?

เอาแค่รับมือม็อบเฉพาะหน้า ก็ยังไม่รู้จะเอาอยู่ไหม ตำรวจปิดถนนรอบราชประสงค์ กั้นรั้วลวดหนาม ประชาชนเดือดร้อนไปด้วยเป็นล้าน ม็อบกลับย้ายที่ บอกกันทางออนไลน์ ย้ายไปสยาม แล้วต้องตามไปปิดสยาม? กลายเป็นเล่นเจ้าล่อเอาเถิด ชาวบ้านเดือดร้อนไปทั่ว แล้วอย่าคิดว่าเขาจะด่าม็อบ เพราะรัฐบาลก็ไม่ได้อยู่ในความนิยม

หรือสมมติปิดกั้นหมด ม็อบย้ายไปปทุม นนท์ ปากน้ำ จะทำอย่างไร ต้องประกาศฉุกเฉินร้ายแรงเพิ่มไหม ที่เชียงใหม่ ก็มีม็อบหลายพันคน ที่ขอนแก่น ที่โคราช ฯลฯ ชูสามนิ้ว “ปล่อยเพื่อนเรา” หรือจะประกาศให้ครบทุกจังหวัด พร้อมเคอร์ฟิว เพื่อรักษาสถานภาพรัฐบาล

พอครบ 30 วันทำไง ก็ต่ออายุอีก เพราะฉุกเฉินแล้วลงไม่ได้ สถานการณ์บานปลายแล้วไม่มีทางหวนกลับ มีแต่ต้องกดไว้ด้วยอำนาจ คลายไม่ได้ สุดท้ายก็อยู่เสมือนรัฐประหาร แค่ยังมีนักการเมืองลอยหน้าลอยตาร่วมรัฐบาล

รัฐบาลเองนั่นแหละจะทนแรงกดดันไม่ได้ จะอยู่อย่างนี้ตลอดไปไม่ได้ ต้องหาทางลง

ม็อบคนรุ่นใหม่สามารถเคลื่อนไหวได้เหมือนม็อบฮ่องกง แต่รัฐไทยไม่ใช่รัฐจีน ซึ่งใช้แสนยานุภาพแผ่นดินใหญ่มาควบคุมเกาะเล็กๆ หรือจะปิดกั้นโลกออนไลน์ ปิดทวิตเตอร์ เฟซบุ๊ก ไลน์ แล้วเศรษฐกิจจะพินาศเพียงไร

รัฐประหารใหม่ก็ช่วยไม่ได้ เว้นแต่จะใช้อำนาจแบบเกาหลีเหนือ ซึ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร

นี่คือทางตันของระบอบประยุทธ์ 5 ปีรัฐประหาร มุ่งหวังสลายเสื้อแดง พลังประชาธิปไตยในชนบท ทั้งใช้อำนาจกดบีบ ทั้งใช้ประชานิยม เครือข่ายรัฐราชการ แล้วกวาดต้อนนักการเมืองมาเป็นฐานสืบทอดอำนาจ แปลงร่างเป็นประชาธิปไตยปลอม แต่กลับถูกลุกฮือต่อต้าน โดยครั้งนี้ผิดคาดที่เป็นคนรุ่นใหม่ล้นหลาม ตั้งแต่อายุเลข 3 ถึงเลข 1 นำหน้า ซึ่งเติบโตมาในโลกใหม่ ทนไม่ได้กับระบอบอำนาจที่ปิดกั้น ทั้งทางการเมือง ความคิด วัฒนธรรม การศึกษา

กลายเป็น Lost Generation ที่อำนาจอนุรักษนิยมสูญเสีย โดยยังไม่เห็นทางเรียกกลับ

เปรียบเทียบยุค 6 ตุลา ตอนนั้นยังแค่คนรุ่น 17-18 ถึง 20 เศษ แล้วหลังรัฐบาลหอยหนึ่งปี ชนชั้นนำปรับตัวทัน รัฐประหารตัวเอง เปิดประชาธิปไตยครึ่งใบ ซ้ำพอดีพรรคคอมมิวนิสต์แตก โลกสังคมนิยมล่มสลาย สิ้นสุดสงครามเย็น สู่ยุคการค้าเสรี ญี่ปุ่นย้ายฐานลงทุนมาเมืองไทย

แต่วันนี้ อำนาจอนุรักษนิยมปรับตัวไม่ได้ ได้แต่ใช้อำนาจกดทับไว้ และกำลังจะกดไม่ไหว เพียงแต่ยังได้แรงหนุนจากมวลชนอนุรักษนิยม คนสูงวัย กับคนชั้นกลางเก่าเลข 4 ขึ้นไปที่โตมาในยุค propaganda

ซึ่งยิ่งทำให้ประเทศแตกร้าว มีแต่สูญเสีย ทั้งที่เราต้องอยู่ด้วยกัน แต่หาจุดสมานฉันท์ไม่เจอ ภายใต้การเป่าหูเรื่องความเป็นไทย ไล่คนออกนอกประเทศ ต่างชาติอยู่เบื้องหลัง ฯลฯ

แน่ละ ภายใต้อำนาจอย่างนี้ ม็อบไม่มีทางเอาชนะรัฐ แต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ Chaos ระดับย่อมๆ ไปถึงใหญ่ขึ้นๆ ถ้าอำนาจอนุรักษนิยมไม่ถอย ไม่ปรับตัวเอง ก็จะวิบัติทั้งประเทศ

ทำไมถอยไม่ได้ มัวแต่ย้อนว่าผิดอะไร ทั้งที่หากมองในแง่ภารกิจ ก็ถือว่าไม่สำเร็จ เสียของอยู่ดี

เลิกประกาศฉุกเฉินร้ายแรง ปล่อยคนถูกจับ นับหนึ่งใหม่ ยุติสืบทอดอำนาจ เลิกใช้ 250 ส.ว. ยอมแก้รัฐธรรมนูญ เลือกตั้งใหม่ ไม่ต้องไปถึงรัฐบาลแห่งชาติหรอก แค่กลับสู่ประชาธิปไตยปกติ

เท่านี้แรงกดดันก็จะลดลง สังคมยังมีเวลาสนทนากัน

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน