เป็นแม่ไม่ง่าย – “ไม่น่าเชื่อว่าแยกลูกจากมือถือมาสอนนั่งสมาธิไม่ได้ยากเท่าที่คิด ทำให้เขาร่าเริงขึ้นด้วย ส่วนหนึ่งอาจเพราะเราได้ใช้เวลาร่วมกันมากขึ้น”

เรากับแฟนเป็นคนทำงานฟรีแลนซ์ แฟนรับวาดภาพประกอบ ส่วนเรารับออกแบบโลโก้ ออกแบบบรรจุภัณฑ์ของชำร่วยที่เขาแจกในงานแต่งงาน หรืองานอื่นๆ

ช่วงเวลาที่ลูกอยู่บ้าน ช่วงโควิดที่ผ่านมาต้องหยุดโรงเรียนหลายเดือน ครูให้เรียนออนไลน์ ก็จำเป็นต้องเลี้ยงลูกอยู่ในห้องด้วยกันตลอด มันเป็นช่วงเวลาที่ค่อนข้างวุ่นวายหลายเรื่อง เพราะเราเริ่มรู้สึกว่าการเงินในบ้านไม่มั่นคง งานหลายงานนึกจะยกเลิกก็ยกเลิกเฉยๆ บางงานก็เบี้ยว ไม่ยอมจ่ายเงิน หรือจ่ายเงินไม่ครบ ทำให้เดือดร้อนมาก ก่อนหน้านี้เราก็จะเลือกรับงาน เป็นงานที่เราถนัด เรามั่นใจ และค่าตอบแทนคุ้มค่า แต่พอมีปัญหาแบบนี้ขึ้นมาก็ทำให้เราต้องรับงานทุกงานทุกประเภทค่าจ้างไม่คุ้มกับงานเราก็ยังต้องรับ บางทีหลักสิบก็มี เพราะกลัวปฏิเสธไปแล้วงานจะไม่ต่อเนื่อง

ปัญหาที่ตามมาคือ ทำให้ช่วงเวลานั้นเราสามคนแทบไม่ได้มีเวลาที่ได้ใช้ร่วมกันเลย เพราะต้องเอาเวลาเกือบทั้งหมด หมายถึงทั้งวันทั้งคืน ที่ไม่ได้กินข้าว อาบน้ำลูก นอน หรือทำสิ่งที่จำเป็น เสร็จแล้วก็ต้องรีบกลับมานั่งหน้าจอทำงาน ได้นอนกันคนละสามสี่ชั่วโมง


ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับลูกตรงๆคือเขายังเป็นเด็กเล็ก ที่ไม่สามารถทำกิจกรรมอยู่ด้วยตนเองตามลำพังได้ ทีแรกเราก็พยายามหาเวลาอยู่กับลูก หาอะไรให้ทำ หาของเล่นให้ หาภาพให้ระบายสี หาตัวต่อมาให้ประกอบ ทีแรกเขาก็เล่นดี ตื่นเต้นดี แต่พอเล่นอยู่คนเดียวนานๆมันก็เบื่อ ตามวัยเขานั่นแหละ เขาก็งอแง เรียกร้องให้เราไปเล่นกับเขา ขอให้พาออกไปเล่นข้างนอก ให้พาเดินเล่น ให้พาเที่ยว ไปบ้านย่า บ้านยายที่ต่างจังหวัด ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลย เพราะงานรัดตัวมาก สุดท้ายเลยเอามือถือเรานี่แหละหาเปิดยูทูปการ์ตูน หรือพวกเพลงเด็กๆให้ดู

สื่อพวกนี้มันดูดีมากนะคะ มันกระตุ้นเด็กทั้งทางตา ทางหู เด็กเขาดูเพลินเลย เงียบไปเลย จนเราก็โล่งใจ ตั้งใจว่า เออ อยู่เองซักแป๊บนะลูก เดี๋ยวเคลียร์งานเสร็จจะไปเล่นด้วย ทั้งเราทั้งสามีก็พูดกับลูกแบบนี้

แต่พอทำงานเพลินไป เฮ้ย ผ่านไปสามสี่ชั่วโมงแล้วเหรอ บางทีหยิบมือถือให้ลูกตอนทุ่มนึง เงยหน้าจากงานมาอีกทีปาเข้าไปเที่ยงคืนแล้ว โดยที่เราไม่ทันรู้ตัวเลย คือลูกอยู่กับการจ้องจอมือถือวันละนานมาก ต่อเนื่องสี่ห้าชั่วโมง


เราก็คุยกับแฟนว่า แบบนี้น่าจะไม่ดีนะ แต่ก็อย่างที่บอกคือ งานรัดตัวจนทำอะไรไม่ได้ คุยกันดิบดีว่าต้องจัดสรรเวลา แต่งานก็เร่งทุกงานจนไม่มีเวลาโงหัว ผ่านช่วงเวลานั้นมาได้สามสี่เดือน หันมาดูลูกอีกที ลูกติดมือถือไปเรียบร้อยแล้ว

เราเรียกก็จะไม่ค่อยสนใจ พูดไม่ฟัง ชวนทำอะไรอย่างอื่นก็ไม่ทำ ตาจ้องแต่จอ เล่มเกมบ้าง ดูคลิปบ้างอะไรบ้างตลอดเวลา ขนาดจะกินข้าวยังเอามาวางบนโต๊ะด้วย เวลาดึงออกจากมือก็ร้องเอะอะโวยวาย บางทีกรี๊ด ร้องไห้ลงไปนอนดิ้นๆจะเอามือถือคืนให้ได้ เราเองก็เสียใจนะ รู้แหละว่าตัวเองมีส่วนทำให้ลูกเป็นไปได้ขนาดนี้

พอผ่านช่วงที่งานท่วมมาแล้ว เราบอกแฟนเลย ว่าต้องช่วยลูกก่อนแล้วนะ เราไม่รับงานเลย ให้แฟนทำคนเดียวไปก่อน เราก็ลองหาข้อมูลดู ว่าควรทำอะไรบ้าง

หลักๆเลยคือ เราต้องอยู่กับลูก ใช้ชีวิตร่วมกับลูก ทำกิจกรรมด้วยกัน พูดคุย สื่อสารกัน ทำความเข้าใจ รับฟังลูก เรื่องมือถือเรามองว่าไม่อยากประวิงเวลารออะไรอีกแล้ว เลยใช้วิธีหักดิบเอาเลย เราปิดมือถือ เอามือถือไปไว้ที่อื่น ทีแรกลูกถามหา และร้องงอแงเหมือนเดิม เราก็ทน รอเขาร้องจนพอใจ โดยที่เราไม่ว่าอะไรซ้ำแล้ว เราแค่รออยู่ข้างๆ พอเขาเหนื่อย หยุด เราก็อุ้มเขามากอด มาหอม ชวนไปเล่นอย่างอื่น

เราพาเขาไปเที่ยวที่ใกล้ๆบ้าน ศูนย์ปฏิบัติธรรม ที่หนึ่งเขามีคอร์สสำหรับเด็ก เกี่ยวกับการปรับปรุงพฤติกรรมและฝึกสมาธิ ทีแรกเราคุยกับแฟนก็มองกันว่า จะเหมือนเข็นครกขึ้นภูเขาไหม ยากไปไหม เพราะตอนนี้ลูกไม่นิ่งเลย ซนเหมือนลิง กลัวจะไปป่วนเขาจนทำอะไรไม่ได้


แต่พอเข้าไปจริงๆแล้ว ไม่ได้ยากอย่างที่คิด เขาก็ฝึกดีมากนะ เด็กๆเยอะแยะที่ซนๆ เขาหาวิธีทำให้เด็กมีความสนใจอยู่กับปัจจุบันขณะ ให้เข้าใจอารมณ์ความรู้สึกตัวเอง ไม่บังคับสวดมนต์หรือนั่งสมาธินานๆ เราเองอบรมแล้วก็เอามาฝึกต่อกับลูกที่บ้าน ผลพลอยได้คือนอกจากลูกจะนิ่งขึ้นแล้ว เราเองก็นิ่งขึ้น ใจเย็น และมีสติมากขึ้น ไม่หงุดหงิดแปรปรวนง่าย ถึงมีบ้างก็หายเร็วขึ้นมาก

ทุกวันนี้เรากับลูกนั่งสมาธิกันได้ครั้งละ 20 นาที ซึ่งเมื่อก่อนไม่มีทางทำได้เลย ให้นิ่งห้านาทีก็แย่แล้ว หัวใจสำคัญเราว่าน่าจะเพราะเราได้มีโอกาสใช้เวลาร่วมกันนี่แหละค่ะ

คุณแม่ท่านหนึ่ง จ.นนทบุรี
ภาพ pixabay

โดย…ขึ้นหนึ่งค่ำ

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน