คอลัมน์ ใบตองแห้ง

14 ตุลาของคนรุ่นใหม่

48 ปี 14 ตุลา ดูเหมือนไม่คึกคักเท่า 45 ปี 6 ตุลา ซึ่งคนรุ่นใหม่มีอารมณ์ร่วมกว่า ซ้ำกรรมการมูลนิธิ 14 ตุลา อดีต ส.ว.สรรหา แสดงความไม่พอใจป้าย “ทะลุฟ้า”

เป็นธรรมดา 48 ปีความคิดคนเปลี่ยนไป หรือไม่เปลี่ยนแต่ตกยุคสมัย กระนั้น คนตุลาที่หนุนคนรุ่นใหม่ก็เยอะไป การที่คนรุ่นนั้นมีความคิดต่างหลากหลาย ไม่ได้ลดคุณค่าความหมาย 14 ตุลา

14 ตุลาเป็นวันยิ่งใหญ่ของประชาธิปไตยไทย แม้มองกันว่าประชาชนถูกปล้นชิงอำนาจ จนอีก 3 ปีให้หลังเกิด 6 ตุลา เผด็จการหอย แล้วถอยกลับมาเป็นประชาธิปไตยครึ่งใบ จนกลายเป็นประชาธิปไตยใต้อำนาจนำ

แต่ 14 ตุลาก็ไม่ได้มีความหมายแค่ไล่ถนอมประภาส หากมีความหมายในด้านจิตสำนึกประชาธิปไตยเบ่งบาน การเรียกร้องสิทธิ ทวงความเป็นธรรม ของนักเรียนนักศึกษา กรรมกร ชาวนา ความตื่นตัวของประชาชน ความเปลี่ยนแปลงทางความคิดวัฒนธรรม ส่งผลให้หลัง 6 ตุลาก็ยังต้องคืนประชาธิปไตยครึ่งใบ สืบต่อมาจนรัฐประหาร รสช. สืบทอดอำนาจไม่ได้ เกิดพฤษภา 35 และรัฐธรรมนูญ 2540

จนกระทั่งรัฐประหาร 2549 นำเข้าสู่ยุคมืดอีกครั้ง

14 ตุลามีความหมายยิ่งใหญ่ถัดจาก 24 มิถุนา 2475 “อภิวัฒน์สยาม” ซึ่งวางรากฐานได้เพียง 15 ปี ก็ถูกโค่นโดยรัฐประหาร 2490 “ฟื้นอำนาจเก่า” แล้วสฤษดิ์ทำรัฐประหาร 2500 ประเทศตกอยู่ใต้เผด็จการยาวนาน จนระเบิดออกมาเป็นพลังนักศึกษาประชาชนมหาศาล ซึ่งแม้ประชาชนไม่สามารถยึดอำนาจ ก็ส่งผลสะเทือนกว้างขวาง เสมือนการอภิวัฒน์อีกครั้ง

แล้วเราจะมีครั้งที่สามไหม หลังจากรัฐประหาร 2557 ประยุทธ์ครองอำนาจมา 7 ปี จนเกิดคณะราษฎร 2563 ชูสามนิ้ว ซึ่งนัดเคลื่อนไหวอีกครั้ง 31 ตุลาคมนี้

เข้าใจกันก่อนนะ ครั้งที่สาม ไม่ได้หมายความว่าจะต้องนองเลือดอีกครั้ง หรือเกิดการโค่นล้มอะไรอีกครั้ง แต่หมายถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ปฏิรูปครั้งใหญ่ เพื่อปลดพันธนาการประชาธิปไตย ให้เดินไปข้างหน้าอีกครั้ง

เพราะสถานการณ์ขณะนี้ คือประชาธิปไตยถอยหลัง ถูกทำลาย จนเกิดความขัดแย้งอย่างรุนแรง แต่อยู่ได้ด้วยอำนาจใหญ่โตมหึมา ซึ่งเสื่อมไปทุกองคาพยพ ตำรวจ ทหาร รัฐราชการ กระบวนการยุติธรรม องค์กรอิสระ

ไม่ใช่แค่ตัวประยุทธ์ แต่ที่ไล่ประยุทธ์ไม่ได้ ประยุทธ์ไม่ยอมไป ก็เพราะประยุทธ์คือสัญลักษณ์ตัวแทนอำนาจรัฐ ที่ทำตัวเป็นนายเหนือประชาชน ผู้มีพระคุณ ผู้อบรมสั่งสอน ดุด่า ไม่ต้องมีความรับผิดชอบ มีปัญหาก็โทษประชาชน ล้มเหลวโควิดก็ยังเอาบุญคุณว่าเป็นผู้สั่งเปิดประเทศ

ประยุทธ์เป็นตัวแทนเครือข่ายอำนาจอนุรักษนิยม ที่พยายามเหนี่ยวรั้งอำนาจไว้กับตัวเอง รัฐราชการมหึมาจึงออกมาปกป้องประยุทธ์ ตั้งแต่กระบวนการยุติธรรมไปถึงระบบสาธารณสุข

ประยุทธ์ (หรือประวิตร) เดินทางไปที่ไหน ตำรวจทหารคุมกำลังอารักขา ประชาชนประท้วงไม่ได้ ไล่ไม่ได้ ถูกจับถูกตั้งข้อหา นี่เป็นนายกรัฐมนตรีจากเลือกตั้งหรืออัครมหาเสนาบดีกันแน่

อำนาจใหญ่โตมหึมาดูน่ากลัว จับกุมคุมขังแกนนำ สลายการชุมนุมด้วยแก๊สน้ำตากระสุนยาง ใช้ความรุนแรงยิ่งกว่า Squid Game เพราะนี่คือของจริง พยายามสยบการต่อต้าน ด้วยความรุนแรงในนามกฎหมาย ด้วยความอยุติธรรมในนามกระบวนการยุติธรรม แต่นี่สะท้อนอะไร

มันสะท้อนว่าอำนาจอนุรักษนิยมหมดพลังทางอุดมการณ์ที่เคยโน้มนำสังคมไทย หมดพลัง Soft Power ที่เคยใช้ความเคารพศรัทธาเป็นข้ออ้าง ค้ำอำนาจไม่ชอบธรรม ค้ำอำนาจที่ไม่เป็นประชาธิปไตย เพื่อให้ “คนดีปกครองบ้านเมือง”

พูดกันง่ายๆ ข้ออ้างประยุทธ์เป็นคนดี จึงต้องให้รัฐประหารสืบทอดอำนาจ ใช้ 250 ส.ว.เลือกตู่ ผสมพันธุ์นักการเมืองยี้ มันฟังไม่ขึ้นแล้ว ข้ออ้างประยุทธ์เป็นเสาค้ำความมั่นคง ค้ำอุดมการณ์แห่งชาติ อุดมการณ์นั้นก็หมดพลังแล้ว

จึงเหลือแต่อำนาจดิบๆ ที่ไม่มีความชอบธรรม และไม่มีพลังศรัทธาอีก เหลือแต่อำนาจใช้กำลังและจับขังคุกเท่านั้น อำนาจดิบนี้จะทานการเปลี่ยนแปลงได้นานเท่าไร

นับตั้งแต่ 2475 รัฐธรรมนูญไทยมีการเปลี่ยนแปลงความหมายระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข อย่างมีนัยสำคัญ 2 ครั้ง คือปี 2490 (โค่นคณะราษฎร) กับ 2560 ที่ทำให้ความหมายประชาธิปไตยถอยหลัง

รัฐประหาร 2557 เกิดในยุคสิ้นสุด Consensus เดิม แล้วไม่สามารถสร้าง Consensus ใหม่ สร้างได้เฉพาะในอำนาจรัฐอันใหญ่โต แล้วใช้อำนาจรัฐบีบคั้นประชาชนให้ยอมรับการขีดเส้นจำกัดความหมายประชาธิปไตย ให้เหลือน้อยลงแคบลง

อำนาจรัฐปัจจุบันกำลังใช้ปฏิบัติการจิตวิทยา พยายามสร้างอาณาจักรแห่งความกลัว กำราบปราบปรามคนรุ่นใหม่ให้กลัว ให้เงียบ ด้วยการออกหมายเรียกหมายจับ ให้ประกัน ไม่ให้ประกัน จับกุมคุมขังเป็นรายๆ หวังให้คนที่เหลือถอย หลบ ไปใช้ชีวิตของตัวเองในพื้นที่ที่จำกัดให้

แต่ด้วยความล้าหลังไร้ประสิทธิภาพ รัฐล้มเหลวในการบริหารประเทศ และด้วยความกล้าหาญของคนรุ่นใหม่ ที่พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ เรียกว่า “เผ่าพันธุ์แห่งความหวัง” เรียนรู้ที่จะพ่ายแพ้และสู้ใหม่ การสร้างอาณาจักรแห่งความกลัวจึงไม่สำเร็จ จะสร้างยุคสมัยแห่งความกลัวแต่ประยุทธ์กลายเป็นตัวตลก อำนาจทุกระดับถูกเย้ยหยัน

ปัจจัยต่างๆ เห็นชัดว่า ความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ครั้งที่ 3 ในประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยไทย กำลังจะมาถึง เพียงแต่ยังไม่มีใครรู้ว่า จะเกิดขึ้นแบบไหนอย่างไร

รู้แต่ว่าเกิดขึ้นแน่ๆ และเป็นภาระหน้าที่ของทุกฝ่าย โดยเฉพาะฝ่ายอำนาจ ที่จะต้องไม่ให้เกิดความสูญเสียความรุนแรง เพราะยิ่งรุนแรงยิ่งเปลี่ยนแปลงแรง

 

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน