กลายเป็นประเด็นที่ก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากนักการเมืองและสังคมขณะนี้
เมื่อคณะกรรมาธิการ(กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. ของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) แก้ไขเนื้อหาของร่างพ.ร.บ.ดังกล่าว
โดยเแก้ไขมาตรา 75 เรื่องข้อห้ามการหาเสียง
ตัดถ้อยความที่คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ(กรธ.) เสนอห้ามให้มีการแสดงมหรสพ งานรื่นเริง มาประกอบการหาเสียง แล้วแก้ไขหลักการ ของกรธ.
ให้มีการแสดงมหรสพและงานรื่นเริง เพื่อใช้ประกอบการหาเสียงได้
เสรี สุวรรณภานนท์ ในฐานะกมธ.วิสามัญ อ้างเหตุผล
หากเปิดเวทีหาเสียงอย่างเดียว โดยไม่มีการจูงใจเรื่องมหรสพ จะมีประชาชนมาฟังนโยบายหาเสียงน้อย มีแต่เฉพาะคนที่สนใจการเมืองมาฟังเท่านั้น
ซึ่งมหรสพ เป็นสิ่งรื่นเริง อาทิ ดนตรี ลิเก จึงถือเป็นกลยุทธ์จูงใจให้ประชาชนมาฟังการหาเสียงมากขึ้น
ส่งเสริมให้คนตื่นตัวทางประชาธิปไตย
นอกจากนี้ยังให้โอกาสประชาชนออกมาค้าขาย ทำมาหากิน ทำให้ ทุกๆพื้นที่ในช่วงหาเสียงเลือกตั้งมีเศรษฐกิจดีขึ้น ชาวบ้านใช้เงินในตลาดอย่างถูกกฎหมาย
ที่สำคัญมหรสพ มิได้ทำให้เกิดความไม่เป็นธรรมหรือไม่เท่าเทียมอย่างที่บางคนอ้าง เพราะการจัดมหรสพนั้น จะถูกนำไปคิดคำนวณเป็นค่าใช้จ่ายเลือกตั้งของผู้สมัครหรือของพรรคการเมือง
ขณะที่นักการเมือง นักเลือกตั้ง จาก 2 พรรคใหญ่ ทั้งเพื่อไทย และประชาธิปัตย์ ต่างคัดค้านและ ไม่เห็นด้วย
ชี้ชัดการแก้ไขดังกล่าวเป็นการย้อนยุค และสร้างความไม่เป็นธรรม
สามารถ แก้วมีชัย อดีตส.ส. เชียงราย พรรคเพื่อไทย
รัฐศาสตรบัณฑิต (เกียรตินิยมดี) สาขาการปกครอง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
อดีตส.ส.เชียงรายหลายสมัย สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับ ปี 2540
ที่ปรึกษารมว.วัฒนธรรม, ผู้ช่วยเลขานุการ รมว.คมนาคม
โฆษกคณะทำงานพรรคร่วมรัฐบาล
อดีตรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 2 เมื่อปี 2551
ย้ำว่า หลักกฎหมายเลือกตั้งที่ ผ่านมา ห้ามไม่ให้กระทำบางอย่าง เช่น ออกทีวีหรือวิทยุ ไม่ให้จัดงานรื่นเริง
ด้วยเหตุผลเพื่อป้องกันความเหลื่อมล้ำของผู้สมัครหรือพรรคที่มีทุนน้อย จึงให้กกต.เป็นผู้จัดเวทีปราศรัย แล้วเฉลี่ยเวลาให้กับผู้สมัครได้พูดในเวลาที่เท่าๆ กัน
ดังนั้น การจะกลับไปให้จัดงานมหรสพช่วงหาเสียงได้ เท่ากับเอื้อให้ผู้สมัครหรือพรรคที่มีทุนหนา
เพราะมีโอกาสจ้างนักร้องลูกทุ่งหรือหมอลำชื่อดังมาแสดง จึงดึงดูดประชาชนได้มากกว่า
เช่นเดียวกับ องอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
มีน้องชายคือ ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ นักวิชาการอิสระ
ปริญญาตรี คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
ปริญญาโท 2 สาขา คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
เคยทำงานหนังสือพิมพ์ และมีผลงานเขียนหนังสือหลายเล่ม
ทำงานการเมืองในระดับท้องถิ่น เป็นสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร
อดีต ส.ส.กทม.หลายสมัย และโฆษกพรรค
เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ในรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (ครม.อภิสิทธิ์ 5) เมื่อ 6 มิ.ย. 2553
ระบุไม่เห็นด้วยกับแนวคิดของกมธ.
แม้ในระยะหลังประชาชนจะสนใจฟังการปราศรัยหาเสียงลดลง เนื่องจากมีช่องทางรับรู้ข้อมูลข่าวสารของนักการเมือง พรรคการเมือง ผ่านการสื่อสารอื่นๆ มากมาย
แตกต่างจากอดีตที่มีไม่กี่ช่องทาง
แต่ยุคนี้เป็นยุคปฏิรูปการเมือง จึงควรยึดแนวทางให้มีการใช้จ่ายเงินที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งอย่างเหมาะสม เพื่อประโยชน์ของการทำงานการเมืองอย่างแท้จริง
จึงน่าจะเกิดประโยชน์มากกว่า การส่งเสริมให้มีช่องทางการใช้จ่ายที่ เพิ่มมากขึ้น
เสรี สุวรรณภานนท์ ปริญญาตรีและปริญญาโท สาขานิติศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง เนติบัณฑิตไทย
อดีตเลขาธิการสภาทนายความ, สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญปี2539
อดีตส.ว.กทม.ปี 2543, สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญปี 2550
ปี 2554 เป็นหัวหน้าพรรคประชาสันติ
รัฐประหาร ปี 2557 ได้รับแต่งตั้งเป็น สภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.) จากนั้นเป็นสมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ(สปท.)
ย้ำด้วยว่า ไม่ต้องห่วงจะมีการซื้อเสียงโดยอาศัยมหรสพ เพราะเรามีมาตรการทางกฎหมายที่เข้มข้น
ขณะนี้เทคโนโลยีต่างๆ ก้าวหน้าไปมาก มีโทรศัพท์สามารถถ่ายคลิปการทุจริตซื้อเสียงได้ คงไม่มีใครกล้าเสี่ยงทำผิด
ฉะนั้น การแสดงมหรสพจึงไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการเลือกตั้งแต่ประการใด