เพื่อไทยชำแหละงบ64
มหกรรมก่อหนี้แห่งชาติ
แฉ‘คุณนาย’ใช้รถหลวง
มท.ป๊อกแจงวุ่น-จี้เปิดชื่อ

‘บิ๊กตู่’ เข้าเฝ้าสมเด็จพระสังฆราช ประทานพรให้ครม.ระวังสุขภาพ เพราะทำงานหนัก ปิดท้ายชำแหละร่างพ.ร.บ. งบประมาณปี 64 ก้าวไกลเสียดสีต้องรู้ระบบบริหารงบที่ดี นายกฯ ลั่นจริงใจ ไม่สั่งโง่ๆ แล้วคนที่เหลือต้องทำโง่ๆ ตาม แต่พร้อมปรับให้ถูกต้อง เพื่อไทยซัดเป็นผู้จัดงานมหกรรมการก่อหนี้

แห่งชาติ กู้มากกว่า 28 นายกฯ ของไทยรวมกัน แฉ กรมการปกครองซื้อปิกอัพให้อส. แต่มีคุณนายนำไปใช้ จี้มหาดไทยเลิกซื้อเฮลิคอปเตอร์-อุปกรณ์กู้ภัย ‘บิ๊กป๊อก’ ยันจำเป็น ส่วนใครทำผิดกฎหมายมีคุกรออยู่ หลังโหวตรับหลักการวาระแรก ตั้งกมธ.แปรญัตติใน 30 วัน

‘บิ๊กตู่-บิ๊กป้อม’เข้าเฝ้าสังฆราช

เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 3 ก.ค. ที่วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม กรุงเทพฯ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม และภริยา ถวายเครื่องสักการะเนื่องในเทศกาลเข้าพรรษา ประจำปี 2563 แด่สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก โดยมี

พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รมต.ประจำสำนักนายกฯ ร่วมคณะ จากนั้นพล.อ.ประยุทธ์และภริยาถวายเครื่องสักการะเนื่องในเทศกาลเข้าพรรษา แด่สมเด็จพระ วันรัต ที่วัดบวรนิเวศวิหาร
พล.อ.ประยุทธ์ให้สัมภาษณ์ว่า สมเด็จพระสังฆราชประทานพรให้กับนายกฯ และรัฐบาล ขอให้ทุกคน

ระมัดระวังเป็นห่วงสุขภาพบ้าง เพราะพระองค์ทรงทราบว่า รัฐบาลและครม.ทำงานหนัก ซึ่งวาระสำคัญในครั้งนี้ได้ไปกราบ เนื่องในวันสำคัญในนามของรัฐบาลและคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งได้โอกาสกราบพระบาทท่าน

ด้านพล.อ.ประวิตรเปิดเผยว่า “สมเด็จพระสังฆราชประทานพร ให้ขาผมดีๆ และประทานพรให้ทุกคน”

ร่วมประชุมสภา-‘อนุชา’รอรับ

ในช่วงบ่าย พล.อ.ประยุทธ์เดินทางไปยังรัฐสภาเพื่อร่วมรับฟังการพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2564 ปรากฏว่า นายอนุชา นาคาศัย เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) พร้อมด้วยนางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีข่าวว่าจะได้รับตำแหน่งรัฐมนตรี

หากมีการปรับครม. ได้ลงมารอรับนายกฯ ด้วยตัวเอง ซึ่งที่ผ่านมานายอนุชาไม่เคยปฏิบัติเช่นนี้
ผู้สื่อข่าวถามว่าหลังจากลงมติรับร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายปี 2564 วาระแรกแล้ว คิดว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจะสามารถทำได้หรือ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า มันก็ต้องได้ สิ่งแรกคือต้องกระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศ การลงทุนภาครัฐ การทยอยเปิดกิจการต่างๆ โดยเฉพาะกิจการ

สำคัญที่มีศักยภาพ เราต้องใช้วิกฤตเป็นโอกาส
ต่อข้อถามว่าปัจจุบันมีปัญหาแรงงานตกงานมากขึ้นโดยเฉพาะบริษัทขนาดเล็กจะแก้ไขอย่างไร นายกฯ กล่าวว่า ชี้แจงไปแล้วว่าจะมีการตั้งกองทุนขึ้นมารองรับธุรกิจขนาดเล็ก ซึ่งวิธีนี้เป็นแนวทางการผ่อนคลายอย่างหนึ่งเพราะไม่สามารถทำได้ เนื่องจากติดข้อกฎหมาย ขณะเดียวกันทุกคนห่วงเรื่องปัญหาหนี้เสีย (เอ็นพีแอล) ซึ่งตรงนั้นเป็นเงินของธนาคารและเป็นเงินของประชาชนที่มาฝากไว้ หาก

มีคนหยิบไปใช้มากๆ ก็จะเกิดปัญหา รัฐบาลจึงต้องมีกลไกรองรับการค้ำประกัน ซึ่งต้องยอมรับในส่วนที่จะเป็นหนี้ศูนย์ ก็ต้องคิดหาทางให้รอบคอบ

พท.เคาะ‘สลิลทิพย์’ลงซ่อมปากน้ำ

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงความพร้อมในการเลือกตั้งซ่อมส.ส.เขต 5 สมุทรปราการ แทนนายกรุงศรีวิไล สุทินเผือก พรรคพลังประชารัฐ ที่โดนใบเหลือง ว่า ต้องเลือก ผู้สื่อข่าวถามว่ากดดันหรือไม่เพราะการเลือกตั้งมี.ค.2562 ผู้สมัครมีคะแนนห่างกันไม่มาก พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ชนะคู่แข่งมา 10,000 คะแนน ก็แล้วแต่ประชาชน ต้อง

ให้เกียรติประชาชน ต่อข้อถามว่าการปรับโครงสร้างพรรคเรียบร้อยแล้วหรือยัง พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า เรียบร้อยแล้ว ผู้สื่อข่าวถามว่าขณะนี้มีความพยายามกดดันการทำงานของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีอยู่ตลอด พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ไม่มี
ด้านนายภูมิธรรม เวชยชัย กรรมการสรรหาพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า ที่ประชุมคณะกรรมการสรร

หาฯ มีมติเห็นชอบให้นางสลิลทิพย์ สุขวัฒน์ เป็นตัวแทนพรรคลงสมัครรับเลือกตั้งซ่อมส.ส.เขต 5 สมุทรปราการ และได้ส่งชื่อให้ผู้แทนพรรคประจำจังหวัดให้ความเห็นพร้อมส่งชื่อประกาศในเว็บเพจของพรรค เพื่อรับฟังความเห็นจากสมาชิกก่อนเสนอชื่อและข้อคิดเห็นต่างๆ ให้คณะกรรมการบริหารพรรค (กก.บห.) พิจารณาอนุมัติในการประชุมวันที่ 10 ก.ค.

ทั้งนี้ นางสลิลทิพย์เป็นอดีตผู้สมัครที่ได้อันดับ 2 จากการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา

ถกงบยกสาม-เพื่อไทยสับเพ้อฝัน

เมื่อเวลา 09.00 น. ที่รัฐสภา มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2564 วงเงิน 3.3 ล้านล้านบาท เป็นวันที่สาม มีนายศุภชัย โพธิ์สุ รอง

ประธานสภา ทำหน้าที่ประธานการประชุม
นายวิสาร เตชะธีราวัฒน์ ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย อภิปรายว่า การจัดทำงบปี 2564 เป็นงบที่ตกยุค ตั้งงบแบบเพ้อฝัน เพราะการจัดเก็บภาษีไม่มีทางได้เลย จากภาวะขณะนี้ไปล็อกดาวน์ประเทศ ชาวบ้านเดือดร้อน บริษัทไม่มีเงินเสียภาษี ตอนนี้ไม่ต้องคิดว่าจะฟื้นฟูเศรษฐกิจ ขอให้ประชาชน

ประคองชีวิตให้รอดก็ลำบาก โดยเฉพาะกระทรวงมหาดไทย ขอให้พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดารมว.มหาดไทย ใช้ความกล้าหาญตัดงบบางตัว เช่น ศาลากลาง ศูนย์ราชการ ที่ว่าการ เพื่อเอาไปใช้อย่างอื่นได้

โครงการสะพานเบลีย์จำเป็นต้องใช้หรือไม่ หรือการจัดซื้อรถฉีดน้ำ รถกู้ภัย รถไฮดรอลิก รถอเนกประสงค์ ที่สำคัญรถผลิตอากาศ 6 พันคัน จำนวนหลายร้อยล้านบาท ปรากฏว่าเกิดเหตุหมูป่าติดถ้ำที่ขุนน้ำนางนอน เมื่อ 2 ปีที่แล้วแต่ก็หาเรื่องซื้อ จึงขอให้ยกเลิกเพราะเป็นงบปี 2564 รวมถึงหลังคาโค้งไร้โครงสร้าง ตัวละ 10 กว่าล้านบาท จึงขอให้ยกเลิก

แฉคุณนายใช้รถอส.-จี้มท.เลิกจัดซื้อ

นายวิสาร กล่าวว่า ส่วนโครงการไฟป่าเป็นวาระแห่งชาติที่รัฐบาลชุดนี้ตั้งไว้ แต่ไม่สำเร็จ การดับไฟป้า วิธีง่ายๆ ชาวบ้านเขาใช้เครื่องเป่าลมสำหรับทำแนวกันไฟ แต่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย(ปภ.) จัดซื้อเฮลิคอปเตอร์ 2 ลำ มูลค่า 1,800 ล้านบาท ขอถามว่า ปภ.เป็นกองทัพหรือ จำเป็นต้องมีฝูงบินหรือ เรามีเครื่องบินปีกหมุน 300 กว่าลำ สามารถเอามาใช้ได้ ซึ่งปี 2562-2565 จะ

จัดซื้ออีก 6 ลำ ขณะนี้เหลืออีก 4 ลำ ขอให้ยกเลิก เพราะไม่จำเป็น ที่สำคัญ มีข่าวว่าถูกสั่งการจากผู้มีอิทธิพลจากส่วนกลาง โดยบริษัทที่ได้คือบริษัทดาต้าเกต ซึ่งเป็นบริษัทค้าอาวุธยุทโธปกรณ์ตั้งแต่สมัยพล.อ. อนุพงษ์ เป็นผบ.ทบ.

“ที่สำคัญรถปิกอัพบางคัน กรมการปกครองซื้อไปให้กองอาสารักษาดินแดน (อส.) ใช้ทุกที่และมีการล็อกสเป๊ก เขาบอกว่า อส.ไม่ได้นั่ง มีแต่นาย แต่นายนั่งยังไม่เท่าไร แต่มีคุณนายไปใช้ด้วย จึงขอให้ยกเลิกงบเหล่านี้ และในยุคพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯ แก้ไขปัญหาไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม รวบอำนาจ ทำลายศักยภาพ เกียรติภูมิขอองประเทศอย่างไม่เคยมีมาก่อนในปะวัติศาสตร์ และขอ

เรียกงบฉบับนี้ว่า ฉบับเพ้อฝัน ผลาญงบ จบด้วยโควิด ซึ่งนายกฯจะจบไปก่อนหรือคนไทยจะจบไปก่อน” นายวิสารกล่าว

‘บิ๊กป๊อก’แจงมีความจำเป็น

ด้านพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ชี้แจงว่า การจัดซื้ออุปกรณ์ป้องกันและบรรเทา

สาธารณภัยนั้น มีการจัดซื้ออุปกรณ์เท่าที่จำเป็น และร่วมกันใช้อุปกรณ์ให้ประหยัดที่สุด ส่วนสะพานเบลีย์นั้น เป็นสะพานเหล็กที่ให้ประชาชนใช้ชั่วคราวกรณีเกิดเหตุสะพานถูกตัดขาด ซึ่งใช้งานนานพอสมควร จะถอนออกได้ต่อเมื่อมีงบสร้างสะพานใหม่ ถือว่าจำเป็นต้องมี ส่วนรถฉีดอากาศ ที่จริงเรียกว่ารถอัดอากาศ เราไม่เคยมี แต่ถือเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องมีใช้กู้ภัย เพราะใช้เติมอากาศให้ผู้ประสบภัยกรณี

เกิดเหตุในพื้นที่ที่จำกัด อาทิ เหมืองถล่ม อาคารถล่ม
ส่วนเฮลิคอปเตอร์ที่จะจัดซื้อนั้น เป็นเฮลิคอปเตอร์กู้ภัย ทำได้ทั้งการขนน้ำไปเทดับไฟ และยังมีเครื่องฉีดน้ำเข้าไปดับเพลิงในตึก ซึ่งเราไม่เคยมี ที่ผ่านมาต้องขอยืมเฮลิคอปเตอร์จากกองทัพโดยใช้การหิ้วน้ำไปดับไฟ เพราะไม่ได้ติดตั้งเครื่องฉีดน้ำ จึงต้องมีเฮลิคอปเตอร์ดังกล่าวเพื่อให้การบรรเทา

สาธารณภัยของเราเป็นไปตามมาตรฐานสากล

ลั่นใครทำผิดมีคุกรออยู่

พล.อ.อนุพงษ์กล่าวว่า ตนเชื่อว่าส.ส. ของจังหวัดในภาคเหนือรู้ดีว่าการขอยืมเฮลิคอปเตอร์จากกองทัพมาใช้ดับไฟ ทำได้แค่หิ้วน้ำมาดับไฟ แต่ไม่ตรงเป้าหมาย การที่เราขอซื้อเฮลิคอปเตอร์หลายลำ

ไม่ได้ทำเพื่อตั้งเป็นกองบิน ซื้อ 6 ลำเพื่อสลับใช้งานกรณีที่ต้องมีการซ่อมบำรุง และจะช่วยให้การเข้าไปดับไฟเป็นระลอกทำได้สะดวก อีกทั้งสามารถใช้ดับไฟบนเขาได้ ส่วนบริษัทใดจะชนะประมูลนั้น ปภ.พิจารณา ถ้าอยากได้ของดีก็ย่อมมีราคาสูง แต่กระทรวงมหาดไทยพยายามใช้งบให้ประหยัดที่สุด
“การจัดซื้อจะโปร่งใสหรือไม่นั้น ยืนยันว่าไม่ว่ารัฐมนตรี ส.ส.หรือท้องถิ่น ถ้าใครทำผิดก็ต้องโดน

กฎหมาย มีคุกรออยู่ จึงควรทำให้ประชาชนมั่นใจในกระบวนการนี้ ไม่ใช่ไปพูดให้ประชาชนสิ้นหวังว่ามีแต่คนโกงทำอะไรก็ได้ ทั้งที่มีศาลอยู่ ส่วนรถปิกอัพถ้ามีคุณนายไปนั่ง ทำผิดกฎหมายก็ว่ามา นายอำเภอ ผู้ว่าฯคนไหนทำอย่างนั้น จะได้เอาออกไป แล้วคนอื่นมาเป็น” พล.อ.อนุพงษ์กล่าว

‘มิ่งขวัญ’เตือนวิกฤตกว่าปี’40

นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเศรษฐกิจใหม่ อภิปรายว่า ปีนี้ประเทศใช้งบไปแล้ว 8.4 ล้านล้านบาท ทั้งจากเงินกู้โควิด งบปี 2563 ถามว่าใช้เงินตรงเป้าหรือไม่ ตนมาจากภาคเอกชน ผู้จัดการใช้เงินบริษัทจำนวนมากแต่ไม่เกิดยอดขาย ไม่ทำรายได้ ต้องปลดออกอย่างเดียว ภาษา

อุตสาหกรรมยานยนต์ เรียกว่าเอาไปแบกแหนบ ส.ส.รัฐบาลบอกกับตนว่า งบปี 2564 ไม่ถูกกาลเทศะ ประชาชนกำลังปากแห้ง แต่ตั้งมาถึง 3.3 ล้านล้านบาท ถือว่าน่ากลัวมาก เป็นงบที่ถือว่าเป็นที่สุดของที่สุด เพราะเป็นงบสูงที่สุดตั้งแต่ประเทศไทยเคยมีมา รัฐบาลกล้าหาญตัดสินใจมากมาย แต่ทำไมในช่วงวิกฤตถึงไม่กล้าหาญทำงบแบบสมดุล แล้วยังบอกด้วยว่าในปี 2564 รัฐจะมีรายได้ที่จัดเก็บ 2.67

ล้านล้านบาท ตนคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ ยังมีงบขาดดุลอีก 6.23 แสนล้านบาทนั้น ขอถามว่า จะเอางบที่ไหนมาใช้ คิดว่ายังไงก็ไม่รอด เตรียมตัวกันให้ดี วิกฤตปี 2540 เรื่องเล็กแน่นอน
ท่านเป็นรัฐบาลมา 6 ปีกว่า ตรงนี้จะพิสูจน์สติปัญญาว่าคิดอะไรกับประเทศ เครื่องยนต์เศรษฐกิจของไทยอย่างการท่องเที่ยวดับไปแล้ว อีกเครื่องยนต์ที่จะมีปัญหาคือการลงทุน ขณะที่ประเทศไทยมี

อันดับความโปร่งใสอยู่ลำดับที่ 101 ซึ่งมีผลต่อความ เชื่อมั่นของนักลงทุน ตนเคยเตือนแล้วว่าการใช้เงินก้อนนี้มันเยอะ กมธ.สามัญ 35 คณะอาจเอาไม่อยู่ จึงทำให้กมธ.วิสามัญต้องเกิดขึ้น ที่สำคัญต้องตั้งกมธ.ซ้อนกมธ.เพื่อตรวจสอบเป็นชั้นๆ ไป แต่นี่กลับยังใช้วิธีการเดิมๆ แบ่งเป็นโควตารัฐบาล แม้พรรคการเมืองเสนอบุคคลภายนอกเข้ามาได้ แต่บางท่านยังเป็นจำเลยที่อยู่ในคดีด้วย ไม่มีความ

โปร่งใส แล้วจะเอามาพิจารณาความโปร่งใสได้อย่างไร
“อยากฝากว่าสีดำมันก็คือสีดำ สีขาวก็คือสีขาว ถ้าเป็นสีดำแล้วจะให้บอกว่าเป็นสีขาวผมไม่เอาด้วย คิดกันให้รอบคอบ และขอให้รัฐบาลโชคดี อยากอยู่ 20 ปีก็อยู่ไปเลย วิธีคิดเราคิดไม่เหมือนกัน แต่อยากฝากถึงประชาชนว่าจดชื่อเอาไว้ อีกไม่นาน เวลาไปเลือกตั้ง จำชื่อไว้ให้ดีๆ ใครทำอะไรเอาไว้ คน

ไทยต้องออกมาทวงสิทธิคืน” นายมิ่งขวัญกล่าว

สอนมวยการบริหารงบ

นายสุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวว่า เมื่อวันที่ 2 ก.ค. นายกฯพูดถึงถนนภาคใต้และสนามบินตรัง ประเด็นนี้นายกฯต้องเข้าใจระบบการบริหารงบประมาณที่ดี คือไม่ควรเป็นลักษณะมือใครยาวสาวได้สาวเอา ใครมาขอก็ให้ หรือถ้าเกรงใจใครก็ให้ ถนนภาคใต้มีปัญหาจริง

สมควรได้รับงบ แต่ควรได้ด้วยเหตุผลเมื่อเทียบกับที่อื่น ไม่ใช่เพราะใครมาขอ สนามบินตรังก็เช่นกัน ส่วนการเปลี่ยนแปลงยุทธศาสตร์การคมนาคมใหม่ทั้งประเทศ ต้องขอบคุณนายกฯ ที่เข้าใจว่ายุทธศาสตร์คมนาคมของประเทศมีปัญหาจริง แต่ปัญหามาจากการรัฐประหาร ยุทธศาสตร์มั่วซั่ว มันเกิดขึ้นหลังรัฐประหารปี 2557 ขณะที่แผนแม่บทมอเตอร์เวย์ 2 ล้านล้านบาทเกิดในปี 2558-59 และ

สร้างโน่นสร้างนี่ ซ้ำซ้อนโครงการเต็มกันไปหมด
ดีใจที่นายกฯจะเปลี่ยนแปลงผลงานชิ้นโบดำ อันเป็นผลพวงของรัฐประหาร แต่เข้าใจหรือไม่ว่าเปลี่ยนแปลงไปสู่อะไร มีความรู้ ความเข้าใจแค่ไหน เมื่อเป็นเส้นทางใหม่ ก่อให้เกิดการพัฒนาหรือไม่ เพราะเมืองเดิมเจริญอยู่แล้ว จะทำพร้อมกันทั้งถนน ทางรถไฟ ทางระบายน้ำ โดยเรียกว่าบูรณาการ ตนก็งงว่าท่านเข้าใจคำว่าบูรณาการหรือไม่ เพราะบูรณาการไม่ใช่ว่าทำทุกอย่างพร้อมกัน แต่ต้องดู

เหตุผลและความคุ้มค่าของโครงการด้วย ต้องเข้าใจ ไม่ใช่อยากเพียงอย่างเดียว และการที่บอกว่าอยากให้เกิดเมืองใหม่ ตนเห็นด้วย แต่ที่ตั้งงบมานั้นไม่ใช่ อยากจะสร้างแต่ถนน จะกินหัวคิวกันหรือเปล่าก็ไม่รู้

‘บิ๊กตู่’สวนอย่าดูถูกเหยียดหยาม

ด้านพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ชี้แจงว่า ได้ฟังสมาชิกพูดจาดูถูกเสียดสีสติปัญญา เหยียดหยามบ้างนิดหน่อย ตนก็ไม่โกรธเคือง ไม่คิดว่าจะเอามาเป็นตัวอย่างโมโหท่าน การลงทุนคมนาคมเป็นแผนงาน เป็นแนวคิด แต่การจะทำ ต้องศึกษาในรายละเอียดอีกครั้ง ดัง

นั้น ต้องมีการคิด อาจคิดผิด คิดถูก คิดไม่ดี แต่ยังไม่เกิดขึ้น ส่วนใดที่เป็นชุมชนเดิมก็ต้องทำ แต่เส้นทางใหม่ก็ต้องทำขึ้นบ้าง ไม่สามารถทำทีเดียวได้ทั้งหมด ตนคงไม่ฉลาดน้อยขนาดนั้น อย่าดูถูกเหยียดหยามตนมากนัก

การลงทุนภาครัฐหากลงทุนเอง ต้องใช้งบจำนวนมาก เราก็ลงทุนแบบรัฐร่วมเอกชน มีการประมูล เซ็นสัญญาทำโปร่งใส ถูกกฎหมาย ก็ลดการลงทุนของภาครัฐไปได้ เราจะสร้างถนนด้วยงบรัฐเอง แล้วเมื่อไรเราจะได้ หลายโครงการก็ทำสำเร็จมาแล้ว เรื่องการลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ก็ยังต้องดูแลประชาชนอยู่ ท่านพูดแต่เรื่องความก้าวหน้า อนาคตการ

ลงทุน แล้วย้อนแย้งกลับมาเรื่องการดูแลคนจน ถามว่าหากทำทุกอย่างที่เราต้องการทั้งหมด มีคนได้ทั้งหมด แล้วประเทศชาติจะเอาเงินมาจากที่ไหน ท่านต้องช่วยเสนอแนะว่าทำอย่างไรให้มีรายได้ ต้องช่วยกันคิด ตนไม่ได้คิดคนเดียว ไม่เคยอนุมัติให้ใครเป็นกรณีพิเศษ การเสนอแผนงานผ่านคณะกรรมการกลั่นกรองทุกระดับ มีคณะกรรมการทุกคณะ ตนไม่เคยลงไปสั่ง ไม่เคยเรียกผลประโยชน์กับ

ใคร ตนยืนยันได้ตรงนี้ และรับฟังความเห็นของพวกท่าน

ลั่นไม่สั่งโง่ๆ-จริงใจ

“ท่านใช้คำพูดแรงไป แต่ผมไม่เถียงกับใคร ผมเถียงสู้ไม่ได้ ท่านเคยเป็นอาจารย์เก่า ที่ปรึกษาบริษัทใหญ่ สถาบันต่างๆ ผมไม่เก่งเท่าท่านแต่ผมจริงใจ ผมจะพูดในสิ่งที่ทำได้ เป็นวิสัยทัศน์ที่อาจจะถูก ไม่ถูก แต่ต้องหาวิธีทำ ถ้าไม่ได้ก็ปรับได้ ต้องมีมาตรการดำเนินการที่ถูกต้อง ไม่ใช่นายกฯสั่ง แบบขอ

อนุญาตใช้คำโง่ๆ ออกไปแล้วคนที่เหลือต้องทำโง่ๆ ตาม ผมไม่ใช่คนแบบนั้น ยินดีปรับแก้และทำตามข้อเสนอ ขอให้พูดจากันดีๆ กว่านี้จะดีกว่า” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ส่วนของค่าใช้จ่ายที่เราทำงบออกมานั้น มีงบหลายส่วน ทั้งงบกลาง งบส่วนราชการ งบบูรณาการ ต้องนึกถึงภาระของรัฐบาลว่าวันนี้ดูแลคนทั้งประเทศ การจัดสัดส่วนต้องถูก

ต้องเหมาะสม ประชาชนเรียกร้องและตนเข้าใจเขา ตนพยายามจะทำให้ได้มากที่สุด แต่ต้องค่อยๆ ทยอยทำตามงบที่มีอยู่ในแต่ละปี อย่าเอางบฟื้นฟูมาตีกับงบปี 2564 มันคนละงบกัน เรื่องเรือดำน้ำก็พูดมาหลายรอบแล้ว ไม่ว่าจะซื้ออะไร ท่านก็ขัดข้องไปหมด เรือดำน้ำที่ว่าดำได้กินน้ำไม่ลึก น้ำลึกก็ดำได้ ไม่ใช่กระทรวงกลาโหมจะไปซื้อเรือดำน้ำที่ดำไม่ได้ ทางเทคนิคทำได้หมด ซื้ออะไรต้องโปร่งใส

ส่วนถนนก็พยายามทำถนนใหม่ แก้ไขถนนเก่า ทำไปเรื่อยๆ ไม่เสร็จได้ในปีเดียว ดังนั้นงบที่ออกไปก็ตามพันธกิจของเขา ซึ่งอาจไม่ทันใจ คำพูดเสียดสี ตนไม่ถือสาเพราะอาวุโสกว่า ขอบคุณในคำแนะที่เป็นประโยชน์และไม่เป็นประโยชน์ ขอให้ช่วยแยกแยะ ตนไม่โมโหใครเลย ตนยิ้มแย้มแจ่มใสตลอดเวลา

‘จิรายุ’ซัดมหกรรมก่อหนี้

จากนั้น นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย อภิปรายว่า ตนไม่เคยไว้วางใจว่าการทำงบของนายกฯ จะแก้ปัญหาให้ประชาชนได้ เพราะกู้อย่างต่อเนื่อง ทำประเทศอ่อนปวกเปียก วันนี้นายกฯ ยังผันตัวเป็นผู้จัดงานมหกรรมการก่อหนี้แห่งชาติ 2564 เหมือนนายกฯ เป็นเจ้าของร้านค้า ประชาชนเอาเงินลงทุนไปให้ แต่สุดท้ายก็ยังกู้แล้วกู้อีก ยกตัวอย่างมีการกู้ชดเชยขาดดุลปี 2563 จำนวน 4.69

แสนล้านบาท ปี 2564 กู้อีก 6.23 แสนล้านบาท
ปี 2564 ถือว่าอยู่ในระยะอันตรายของภาวะเศรษฐกิจ เพราะเศรษฐกิจทั่วโลกจะมีปัญหา ยิ่งจัดงบแบบนี้ เจ๊งทั้งประเทศ จึงอยากเตือนนักธุรกิจติดตามให้ดี เพราะเสี่ยงต่อภาวะล้มละลายด้านการคลัง เนื่องจากรัฐบาลกู้ไปแล้ว 58 เปอร์เซ็นต์ และปี 2564 หนี้สาธารณะอาจทะลุ 60 เปอร์เซ็นต์ ส่งผลให้รัฐบาลไม่สามารถกู้ได้อีกแล้ว เรียกได้ว่ารัฐบาลทำงบแบบไม่ดูตาม้าตาเรือ น่าตกใจมาก นายกฯ 28

คนตั้งแต่สยามประเทศ ปี 2475 มาจนปี 2557 ไม่รู้กี่รัฐบาล กู้เงินรวมกันแค่ 2.295 ล้านล้านบาท แต่พล.อ.ประยุทธ์คนเดียวจัดเต็ม กู้มากกว่านายกฯ 28 คนถึง 3.825 ล้านล้านบาท
ดุลข้าราชการ เคยเกิดขึ้นสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม อดีตนายกฯ ตอนนั้นต้องลดกำลังพลลง ครั้งนี้จะเกิดขึ้นในรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ด้วยหรือไม่ เพราะกู้ไม่ได้แล้ว สิ่งที่ต้องทำคือลดกำลังข้าราชการ

หรือรายจ่ายประจำลง ขอให้สร้างความมั่นใจให้ประชาชนว่า ดุลข้าราชการจะไม่เกิดขึ้น ส่วนวิธีการหาเงินในยุคนิวนอร์มัล รัฐมนตรีพูดแต่เรื่องกระทรวงตัวเอง แต่ไม่มีใครพูดแทนนายกฯ ท่านไม่มีแผนรองรับคนตกงานที่ชัดเจน ดังนั้น ต้องมีแผนว่าในอีก 2-3 เดือนข้างหน้าจะจัดการอย่างไรต้องเอาให้ชัด

‘ประยุทธ์’คุยทำหนี้สาธารณะลด

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ชี้แจงว่า ที่บอกว่าประเทศไทยเคยมี 28 นายกฯ ตนกู้มากที่สุดนั้น ตนย้อนดูว่าวันนี้ประเทศไทยก้าวหน้าไปเท่าไร ประชาชนมีมากเท่าไร ต้องใช้งบเท่าไร ปี 2556 ไทยมีหนี้สาธารณะ 42.19 เปอร์เซ็นต์ ปี 2557 มี 43 เปอร์เซ็นต์ ปี 2558 หนี้สาธารณะ 42 เปอร์เซ็นต์ เป็นปีที่ตนเข้ามา บริหารประเทศแล้ว ซึ่งหนี้ลดลง ปี 2559 หนี้สาธารณะ

เหลือ 41 เปอร์เซ็นต์ ปี 2560 มี 41.78 เปอร์เซ็นต์ ปี 2561 มี 41.95 เปอร์เซ็นต์ ปี 2562 มี 41.10 เปอร์เซ็นต์ และเดือนพ.ค.2563 มีหนี้สาธารณะ 44.01 เปอร์เซ็นต์ ที่เพิ่มขึ้นและต้องกู้เพื่อแก้ปัญหาโควิด
เรื่องรายได้ประเทศ เราต้องประเมินจากสถานการณ์โควิด ถ้าดีขึ้นก็น่าจะเก็บรายได้ได้มากขึ้น ถ้าไม่

ได้ ก็ต้องใช้จ่ายตามงบที่มี และเป็นหน้าที่ของ ครม.และฝ่ายบริหารที่ต้องแก้ปัญหาให้ได้ หากงบที่ได้รับการจัดสรรไม่เพียงพอ เราสามารถปรับแผนโดยอาจชะลอโครงการที่ล่าช้า หรือโครงการที่ไม่จำเป็นก่อนได้ เพื่อปรับแผนการใช้งบตามความจำเป็น
สิ่งที่ตนพูดมีแค่ 2 ข้อ คือ เรื่องของโอกาสที่วันนี้โครงการก่อสร้างถนนหนทาง เพื่อให้ทุกคนได้ใช้

ประโยชน์ เป็นการเข้าถึงโอกาสอย่างเท่าเทียม และเรื่องความเป็นธรรม รัฐบาลนี้เข้ามาดูแลประชาชนอย่างถ้วนหน้า ดูแลผู้มีรายได้มาตลอด ทำไมไม่พูดบ้าง ไม่ช้าจะมีงบฟื้นฟูการจ้างงาน ซึ่งเราต้องใช้จ่ายอย่างโปร่งใส ตนเป็นเพียงหัวหน้ารัฐบาล โครงการทุกอย่างอนุมัติโดยครม. ตนไม่ได้เข้าไปแทรกแซง มีเพียงให้นโยบาย จึงไม่ใช่ตนเพียงคนเดียว โปรดเข้าใจด้วย ประเทศไทยมีศักยภาพ

มีโอกาส แต่ทุกคนต้องเคารพกฎหมายจะได้ไม่เดือดร้อนคนอื่น

ให้ระวังทำผิดกฎหมาย

เวลา 19.30 น. พล.อ.ประยุทธ์ ลุกขึ้นชี้แจงอีกว่า ตนไม่เคยมองคนเห็นต่างเป็นศัตรู แต่มีบางคนมองกฎหมายเป็นศัตรูทุกกฎหมาย เรื่องตอบคำถามตนขี้เกียจตอบแล้ว ตอบซ้ำไปมาหลายรอบ หัดฟังกัน

บ้าง โจมตีกันแต่เรื่องเดิมๆ ตนรับฟังได้ไม่โกรธ ความเห็นต่าง ตนรับได้หมด ขึ้นอยู่กับการหาข้อยุติ ไม่มีใครผิดใครถูก แต่ต้องดูว่ารัฐบาลทำอะไรไปบ้าง ไม่ต้องพูดถึงงบโควิดซึ่งมีอยู่ ไม่พอก็ใช้งบกลางได้ ทุกอย่างเราทำงานเป็นคณะที่เรียกว่าพรรคร่วมรัฐบาล ไม่ใช่พรรคใดพรรคหนึ่ง ต้องมาดูว่ารัฐบาลและนักการเมืองจะร่วมมือกันอย่างไรมากกว่าเอาอันใดอันหนึ่งมาตัดสิน ทุกภาคต้องได้รับการพัฒนา

จังหวัดท้ายตารางถ้าพร้อมก็หางบให้ ไม่พร้อมก็สร้างคนก่อน ดังนั้น อย่าเอาทุกเรื่องมาสร้างความสับสนอลหม่านไปหมด ก็ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง
“หลายคนพูดเก่ง ผมยอมรับ แต่อย่ามากล่าวหาว่าผมใช้กฎหมายกับผู้เห็นต่าง กฎหมายอยู่เฉยๆ ผมก็นั่งเฉยๆ ใครทำผิดต้องถูกลงโทษ ผมสั่งเขาได้หรือ ถ้าสั่งได้คงไม่เป็นแบบนี้ แต่ไม่ได้สั่ง ระวังตัวบ้างก็

แล้วกัน กฎหมายมีผลบังคับใช้กับทุกคน แม้กระทั่งผมก็ยอมรับกฎหมาย วันก่อนเกิดอะไรขึ้นในประเทศไทยกลับไปย้อนดู ความต้องการของประชาชนไม่มีวันสิ้นสุด ผมเข้าใจ แต่อย่าลืมว่าความต้องการของท่านมีอะไรได้รับการตอบสนองไปแล้วบ้าง พูดอย่างเดียวไม่ได้ ท่านต้องหาวิธี ไม่ใช่ใช้การท้าทาย” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

เด็กก้าวไกลโวยถูกข่มขู่

ด้านนางอมรัตน์ โชควินิจกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ประท้วงว่า ที่นายกฯว่าให้ระวังตัวนั้น ต้องระวังตัวเรื่องอะไรบ้าง ตนจะได้เตรียมตัว ทำให้นายกฯ ลุกขึ้นตอบโต้ว่า จะพูดอย่างไม่เข้าใจแบบนี้ไม่ได้ ที่ตนบอกให้ระวังตัวคือระวังตัวในข้อกฎหมายที่อาจทำผิดได้ ตนก็ระวังของตน ท่านก็ต้องระวังของท่าน ความหมายของตนคือแค่นี้ ไม่ได้ไปขู่ท่าน เข้าใจไหม ถ้าท่านไม่ได้ทำผิด จะกลัวอะไร

เมื่อนายกฯพูดจบก็เดินออกไปจากที่นั่งทันที
นางอมรัตน์กล่าวสวนว่า หากมีคนข้างบ้านมาพูดกับตนว่าให้ระวังตัวเอาไว้ ตนตีความได้ว่าเป็นการข่มขู่ ทำให้นายศุกภชัย โพธิ์สุ รองประธานสภา ทำหน้าที่ประธานการประชุม เบรกว่า มันจะเข้าใจผิดกันไปใหญ่

นางอมรัตน์สวนกลับว่า “อ๋อดิฉันเข้าใจผิดใช่มั้ยค่ะ งั้นนายกฯก็ระวังตัวไว้ด้วยก็แล้วกัน” นายศุภชัย กล่าวว่า งั้นก็แปลว่าต่างฝ่ายต่างบอกให้ระวังตัวก็ถือว่าจบแล้ว
ขณะที่นายณัฐวุฒิ บัวประทุม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ประท้วงว่า ขอให้ประธานควบคุมการประชุมให้ดี นายกฯ พูดพาดพิงและหันมาทางพวกตนหลายครั้ง พวกตนก็คนธรรมดา โดนขู่มากๆ ก็

ตกใจ ขอให้ประธานควบคุมการพูดของนายกฯด้วย
นายศุภชัย ชี้แจงว่า ตนฟังอยู่ นายกฯพูดถึงให้ระมัดระวัง ใครที่ทำผิดกฎหมาย ตนไม่ได้ปกป้องนายกฯ แต่ไม่อยากให้เข้าใจผิดซึ่งกันและกัน

แนะยุบสภาคืนอำนาจปชช.

นายวิรัช รัตนเศรษฐ ประธานวิปรัฐบาล ลุกขึ้นเตือนสมาชิกว่า วันนี้อภิปรายเป็นวันที่ 3 แล้วอะไรเล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่อยากให้ผิดใจกัน ทำให้นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ลุกขึ้นประท้วงที่ปล่อยให้นายกฯ จิ้มไมค์แล้วพูดเลย เราจะประชุมกันแบบนี้หรือ ต่อไปนี้ใครอยากพูดอะไรก็กดไมค์แล้วพูดเลยแบบนี้ โดยประธานไม่ตำหนิ กติกาแบบใดพวกเราต้องเคารพ แต่นายกฯจิ้มไมค์

แล้วพูดถือว่าไม่เคารพกติกา ไม่เคารพข้อบังคับสภา ควรเรียกนายกฯมาตำหนิว่าทำแบบนั้นไม่ได้ นี่คือหน้าที่ของประธาน
นายศุภชัย ชี้แจงว่า ความจริงตนติงนายกฯไปแล้ว ถ้าตั้งใจฟังตอนที่นายกฯพูดสวนขึ้นมา ตนก็ติงไปแล้ว แต่ตอนนั้นนางอมรัตน์ ยังอภิปรายต่อ ตนจึงปล่อยให้เขาอภิปราย ความเป็นจริงตนพยายาม

ยืดหยุ่นกับทุกฝ่าย ตนจะทำหน้าที่ให้เข้มแข็งกว่านี้ ถ้าตนเข้มแข็งก็อย่าโวยวาย จากนั้นเข้าสู่การอภิปรายต่อไป
น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายว่า เราจะยอมรับร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ที่ถูกมัดตราสังด้วยแผนยุทธศาสตร์ 20 ปีที่ถูกวางไว้เพื่อการสืบทอดอำนาจ และมีแผนอื่นวางเรียงกัน

จนกระดิกไม่ได้ แก้ไขได้ยาก ไม่ตอบสนองกันสถานการณ์ได้ยาก ถูกจัดขึ้นแบบขอไปทีได้อย่างไร เพราะในเมื่อนายกฯขาดภาวะผู้นำ ไม่กล้าหาญพอ ที่ทุบโต๊ะให้ข้าราชการกลับไปทำใหม่เป็นรอบที่ 3 ในเมื่อสั่งรื้อ 2 รอบแล้วยังทำได้แค่นี้ รัฐบาลไม่หลงเหลือความชอบธรรมใดๆที่จะบริหารประเทศต่อไป
นายกฯต้องปรับทัศนคติและเลิกคิดว่าคนที่คิดต่างจากท่านเป็นพวกชังชาติ ไม่หวังดี เลิกป้ายสีว่าเป็น

พวกคิดร้ายต่อสถาบันหลักของชาติ สิ่งที่ประชาชนรอมา 6 ปี แต่ไม่ทันใจจริงๆ คือตัวนายกฯ ซึ่งเราจะรอต่อไปไม่ได้แล้ว ท่านควรยุบสภาและคืนอำนาจให้กับประชาชน

ลงมติ-ตั้งกมธ.แปรญัตติ 30 วัน

นายสมบูรณ์ อุทัยเวียนกุล เลขานุการประธานสภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ว่า คาดว่าการอภิปราย

ร่างพ.ร.บ.งบประมาณปี 2564 จะปิดการอภิปรายในเวลา 23.00 น. วันที่ 3 ก.ค. ต่อด้วยการลงมติรับหลักการในวาระที่ 1 โดยต้องมีเสียงข้างมากเกินกึ่งหนึ่ง หรือ 244 เสียงขึ้นไป
จากนั้นจะตั้งกมธ.วิสามัญเพื่อพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณปี 2564 จำนวน 72 คน โดยให้สมาชิก

แปรญัตติ 30 วัน ก่อนที่สภาจะพิจารณาในวาระที่ 2 และ 3 ซึ่งต้องให้เสร็จภายใน 105 วันหรือวันที่ 28 ก.ย. เนื่องจากรัฐบาลได้ส่งร่างพ.ร.บ.มาเมื่อวันที่ 20 มิ.ย. ที่ผ่านมา

‘บิ๊กป้อม’เร่งพัฒนาแหล่งน้ำอีอีซี

เมื่อวันที่ 3 ก.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานประชุม

คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนโครงการขนาดใหญ่และโครงการสำคัญ มีนายสมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม
พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ที่ประชุมรับทราบการขับเคลื่อนโครงการขนาดใหญ่ โครงการสำคัญ รวมถึงการปรับปรุงเร่งรัดแผนงานก่อสร้าง ภายใต้โครงการพัฒนาแหล่งน้ำและการจัดการทรัพยากรน้ำภาค

ตะวันออกรองรับเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) เพื่อเสนอให้คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) พิจารณาในวันที่ 22 ก.ค.
ความต้องการใช้น้ำของทุกภาคส่วน มีปริมาณเพิ่มมากขึ้นในแต่ละปี โดยเฉพาะอีอีซี พื้นที่ จ.ระยอง ชลบุรี และฉะเชิงเทรา รัฐบาลจึงมอบให้ สทนช.จัดทำแผนการพัฒนาแหล่งน้ำและการจัดการ

ทรัพยากรน้ำในพื้นที่ดังกล่าว 38 โครงการ เพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนได้ถึง 872 ล้านลบ.ม. โดยจัดสรรงบประมาณขับเคลื่อนไปแล้ว 16 โครงการ เมื่อเสร็จตามแผนงานก่อสร้างปี 2565 จะมีปริมาณน้ำต้นทุนเพิ่มขึ้น 253.6 ล้านลบ.ม. โดยเฉพาะโครงการระบบสูบกลับคลองสะพาน-อ่างเก็บน้ำประแสร์ จ.ระยอง (ปี 2560-65) ที่มอบหมายให้กรมชลประทานเร่งรัดดำเนินการให้แล้วเสร็จในปี 2564 ซึ่ง

แผนงานก่อสร้างโครงการพัฒนาแหล่งน้ำในพื้นที่อีอีซี หากดำเนินการเสร็จจะเพิ่มความมั่นคงด้านน้ำให้กับทุกภาคส่วน

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน