อ้างถ่ายรูปคู่อื้อ
กระทบเลือกตั้ง

‘บิ๊กตู่’ ลั่น ‘ไม่โอเค’ เหตุคดี ‘บอส’ ไม่ชัดเจน แจงต่อหน้าคณะทูตยันเกาะติดไม่ปล่อยแน่ ต้องการความโปร่งใส ไม่ให้มีคดีกระทบความชื่อมั่นอีก ตร.เรียกพฐ.-อจ.จุฬาฯ แจงวิธีคำนวณความเร็ว ผช.ผบ.ตร.ให้รอฟังผลตอนสรุปทีเดียว ขณะที่อ.สธนเผย กำลังคำนวณความเร็วรถจยย.ผู้เสียชีวิต และกระบะของพยาน ตามคำขอของอัยการ กลุ่มแคร์จัดเสวนายุติธรรมคดีบอส 10 ส.ค.

‘บิ๊กตู่’ไม่โอเคคดี‘บอส’

เมื่อวันที่ 6 ส.ค. ที่ห้องวิภาวดี บอลรูม โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ แอท เซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว กทม. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เป็นประธานกล่าวเปิดงานและปาฐกถาพิเศษ Bangkok Post Forum 2020 : “พลิกฟื้นประเทศไทย : ก้าวต่อไปอย่างมั่นคง” โดยมีนักธุรกิจ และคณะทูตานุทูตเข้าร่วมฟัง

โดยพล.อ.ประยุทธ์กล่าวตอนหนึ่งว่า ประเด็นใหญ่ที่สังคมให้ความสนใจ คือเรื่อง บอส กระทิงแดง กรณีนี้แสดงให้เราเห็นได้ชัดเจน ถึงความสำคัญของสื่อที่มีต่อสังคมไทย และนั่นคือเหตุผลที่ตนเชื่อว่า ในประเทศไทยสื่อต้องมีความเป็นอิสระและมีวามแข็งแรง ต้องมีจรรยาบรรณ สื่อคือฐานันดรที่ 4 ต้องมีหลายๆ อย่าง ต้องวางตัวเป็นกลาง เสนอข่าวที่เป็นประโยชน์ทั้งสองฝ่ายเรื่องนี้ ท้าทายระบบยุติธรรมและระบบกฎหมาย และกระทบต่อความไว้วางใจของประชาชนที่มีต่อระบบรัฐทั้งหมด
“ผมจึงขอแสดงจุดยืนของผม ในเรื่องบอสกระทิงแดง ว่า “ผมไม่โอเค” กับหลายเรื่องที่ยังไม่ชัดเจน ผมต้องการให้มีความโปร่งใส ผมจะผลักดัน และผมจะติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด ผมพร้อมที่จะดำเนินการ หลังจากเห็นข้อสรุปของคณะกรรมการที่ผมตั้งขึ้น ซึ่งมีความเป็นอิสระ และประกอบไปด้วยผู้ที่เป็นที่ยอมรับของสังคม ทั้งในเรื่องความรู้และความเป็นกลาง และพร้อมที่จะดำเนินการตามอำนาจหน้าที่และกฎหมายที่มีอยู่พอดีนี้ถือเป็นคดีได้อีกหลายแสนหลายล้านคดีในประเทศไทยเป็นคดีที่ต้องให้ความสำคัญอย่างยิ่งยวด เพราะไม่ต้องการให้ทุกอย่างสร้างความไม่เชื่อมั่นต่อไป” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

พล.อ.ประยุทธ์ให้สัมภาษณ์กรณีการกล่าวถึงคดีบอสระหว่างปาฐกถาที่มีทูตานุร่วมฟังว่า “ผมควรจะพูดในส่วนของผม เพราะต้องการสร้างความเข้าใจกับต่างประเทศเขา มันควรจะมาจากระบบกฎหมายไทยไม่ดีกว่าหรือ อะไรที่มันผิด มันบกพร่องก็ควรแก้ไป คดีมันมีตั้งเป็นแสนคดี ไม่อย่างนั้นทุกอย่างมันพันกันหมด ต้องไปแก้จุดที่มันเป็นจุดอ่อน ขั้นตอน กระบวนการ กฎหมายต่างๆ ต้องไปดูตรงนั้นอีก ไม่อย่างนั้นก็เกิดช่องว่างอยู่อย่างนี้ ผมก็รับไม่ได้ตอนนี้ เหมือนกับพวกเรา อย่าให้มันเกิดขึ้นอีกนะ”

ตร.เรียกแจงคำนวณความเร็ว

ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พ.ต.อ.ธนสิทธิ แตงจั่น นักวิทยาศาสตร์ สบ.4 กลุ่มงานตรวจเคมีฟิสิกส์ ศูนย์พิสูจน์ หลักฐาน 1 สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ และนายสธน วิจารณ์วรรณลักษณ์ อาจารย์ประจำภาควิชาฟิสิกส์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อดีตที่ปรึกษาสำนักงานกองพิสูจน์หลักฐาน เดินทางเข้าชี้แจงต่อคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงตำรวจ ถึงประเด็นการทำข้อมูลเรื่องความเร็วรถของนายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือ บอส ซึ่งเป็นข้อมูลที่ปรากฏอยู่ในสำนวนคดีเมื่อปี 2555 โดยทันทีที่เดินทางมาถึงทางเจ้าหน้าที่ได้แยกห้องในการซักถามข้อมูล
โดยนายสธนกล่าวก่อนเข้าให้ข้อมูลกับคณะกรรมการว่า ยินดีให้ความร่วมมือกับตำรวจและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ส่วนตัวตนเองยังยืนยันเรื่องความเร็วเช่นของรถบอส วรยุทธ เช่นเดิม ส่วนประเด็นที่อัยการขอความร่วมมือให้ตรวจสอบรถคันอื่นที่อยู่ในคลิปเหตุการณ์ ขณะนี้กำลังตรวจสอบรถจักรยานยนต์ ของดาบตำรวจ ผู้เสียชีวิต และกระบะของพยานอยู่ ยืนยันแม้จะถูกเรียกมาให้ชี้แจงข้อมูลไม่มีความเครียดและกังวลแต่อย่างใด
ขณะที่พ.ต.อ.ธนสิทธิกล่าวว่า ไม่สามารถให้ข้อมูลต่อสื่อมวลชนได้ ให้ถามรายละเอียดกับทางคณะกรรมการอย่างเดียวเท่านั้น

พล.ต.ท.จารุวัฒน์ ไวศยะ ผู้ช่วย ผบ.ตร. กล่าวว่า วันนี้ได้เรียกทั้ง 2 คน เข้ามาให้ข้อมูลในเรื่องวิธีการคำนวณความเร็ว ว่าแต่ละฝ่ายใช้วิธีคำนวณแบบใด จึงได้ตัวเลขความเร็วออกมา โดยรับว่ามีความคืบหน้า ไประดับหนึ่งแล้ว ส่วนประเด็นที่ พ.ต.อ. ธนสิทธิ ให้การเรื่องความเร็วรถ 2 ครั้ง ไม่ตรงกันนั้น ตนไม่ทราบ ส่วนรายละเอียดอื่นๆ ต้องรอในวันแถลงข่าว แต่จะแถลง วันใด ต้องไปถาม ผบ.ตร.

ภาค 5 เผยผลสอบส.ว.ก๊อง

ที่สตม. พล.ต.ต.สุรพงษ์ ชัยจันทร์ รอง ผบช.สตม. เผยว่า ส่วนกรณี นายจารุชาติ มาดทอง พยานในคดีดังกล่าวที่เสียชีวิต ซึ่งสังคมมีความสงสัยว่า อยู่ที่ไต้หวัน แต่มาให้ปากคำในประเทศไทยได้อย่างไรนั้น พบว่า วันที่ 8 ก.ย. 2555 หลังเกิดเหตุ นายจารุชาติ ยังอยู่ในไทยและให้ปากคำกับพนักงานสอบสวนครั้งแรก จากนั้นจึงออกไทยไปไต้หวัน เมื่อปี 2557 อยู่ที่ไต้หวัน 3 ปี กระทั่งบินกลับมาไทย เมื่อปี 2560 และเข้าพบพนักงานสอบสวนครั้งที่ 2 วันที่ 2 ธ.ค. 2562 ก่อนที่จะเสียชีวิต
พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 (ผบช.ภ.5 ) กล่าวถึงความคืบหน้าคดีอุบัติเหตุการเสียชีวิตของนาย จารุชาติ มาดทอง พยานปากสำคัญในคดีบอส วรยุทธ ว่า เบื้องต้นเป็นที่ชัดเจนว่า นาย จารุชาติ และนายสมชาย ตาวิโน คู่กรณีไม่เคยรู้จักหรือมีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกันในทุกมิติ มาก่อนที่จะเกิดเหตุในครั้งนี้ โดยนอกจากนี้ยังเชิญตัวคนรู้จักรอบข้างและเชื่อมโยงเกี่ยวข้องทั้งหมดกับคนตาย มาสอบปากคำในส่วนของครอบครัวและที่ทำงาน เพื่อไขข้อสงสัยตั้งแต่เกี่ยวกับเหตุที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ ซึ่งวันที่ 5 ส.ค. เชิญตัวนายชูชัย เลิศพงศ์อดิศร หรือ ส.ว.ก๊อง มาสอบถาม ข้อมูลต่างๆ ซึ่งให้การว่ายอมรับว่ารู้จักกับผู้ตายในฐานะนายจ้าง และรู้จักกับคนตระกูลอยู่วิทยา โดยข้อมูลต่างๆ จากการสอบปากคำผู้เกี่ยวข้องทุกคนจะรวบรวมไว้ในสำนวนอย่างละเอียด

ยังตามมือถือ‘จารุชาติ’

พล.ต.ท.ประจวบกล่าวต่อว่า ส่วนโทรศัพท์มือถือของนายจารุชาตินั้น คนรู้จักของนายจารุชาติและเป็นหนึ่งในลูกน้องของ ส.ว.ก๊อง ให้การยอมรับว่าเอาไป เพราะรู้จักและสนิทกับผู้ตาย รวมทั้งมีรูปถ่ายร่วมกันอยู่ในโทรศัพท์มือถือของผู้ตาย แต่เนื่องจากเตรียมจะลงสมัครเลือกตั้งนายกเทศมนตรีตำบลสุเทพ ทำให้เกรงว่าหากรูปดังกล่าวเผยแพร่ออกไปจะส่งผลกระทบต่อการหาเสียงในการลงสมัครรับเลือกตั้ง จึงเอาโทรศัพท์จากญาติไปลบภาพทิ้ง และทำลายพร้อมกับทิ้งขยะไป อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่ต้องสืบสวนอย่างละเอียดต่อไป เพราะตั้งข้อสงสัยเช่นกันว่าเหตุใดจึงต้องมีการทำเช่นนั้น ตอนนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจยังไม่ได้โทรศัพท์เครื่องดังกล่าวกลับคืนมา แต่สามารถตรวจสอบข้อมูลการโทร.เข้าออกย้อนหลังได้ ส่วนญาติของนายจารุชาติ ได้แจ้งความดำเนินคดีข้อหายักยอกทรัพย์แล้วกับผู้ที่เอามือถือไปทำลาย
พล.ต.ท.ประจวบกล่าวด้วยว่า ได้ตรวจสอบบัญชีธนาคารและเส้นทางการเงินของนายจารุชาติ ย้อนหลังแล้ว พบว่ามีเงินอยู่ในบัญชีไม่มาก และไม่พบการเข้าออกของเงินอย่างผิดปกติ โดยพบเงินเข้าหลักพัน และมากสุดหมื่นต้นๆ ขณะที่ในส่วนทรัพย์สินของครอบครัวและญาติของนายจารุชาตินั้น จากการตรวจสอบและสังเกตเบื้องต้น ไม่พบว่า มีทรัพย์สินเงินทองผิดปกติจากชาวบ้านทั่วไปแต่อย่างใด

แคร์จัดถกยุติธรรมคดีบอส

วันเดียวกัน นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช สมาชิกเริ่มต้นกลุ่มแคร์ ฐานะที่ปรึกษาคณะทำงานกลุ่มแคร์ด้านกระบวนการยุติธรรม เปิดเผยว่า กลุ่มแคร์กระบวนการยุติธรรม เตรียมเสนอมุมมองผ่านการเสวนา Round Table “คดีบอส : สังคมได้เรียนรู้อะไร?” โดยจะจัดขึ้นในวันที่ 10 ส.ค. เวลา 10.00-12.30 น. ณ ห้องอิศรา อมันตกุล ชั้น 3 อาคารสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ถ.สามเสน เขตดุสิต กรุงเทพฯ ทั้งนี้ คดีบอส อยู่วิทยา ฟื้นกลับมาอยู่ในความสนใจอย่างกว้างขวางต่อเนื่องอีกครั้ง ไม่ต่างจากเมื่อครั้งเกิดเหตุการณ์ใหม่ๆ เมื่อ 8 ปีที่แล้ว แต่ครั้งนี้กลับเป็นผลจากการนำเสนอข่าวของสื่อสากล CNN ถึงผลของการดำเนินคดีที่สลับซับซ้อน พลิกความคาดหมาย เกิดข้อเคลือบแคลงสงสัยมากมายต่อสังคมและสากล ร้อนถึงเจ้าหน้าที่ เจ้าพนักงานและหน่วยงานต่างๆ ของรัฐ ต้องออกมาชี้แจงกันสับสนอลหม่านและยังไม่มีข้อยุติง่ายๆ
นพ.พรหมินทร์กล่าวต่อว่า คณะทำงานด้านกระบวนการยุติธรรมของกลุ่มแคร์ เห็นว่าเรื่องนี้ไม่เพียงมีผลต่อคู่กรณีเท่านั้น แต่มีผลสะเทือนถึงความเชื่อมั่นของกระบวนการยุติธรรมทั้งระบบ ที่ต้องเป็นหลักพึ่งพิงให้ความเป็นธรรมต่อสมาชิกสังคมอย่างตรงไปตรงมา ทั้งยังส่งผลถึงความเชื่อมั่นเศรษฐกิจ ภาคธุรกิจ ทั้งภาคในประเทศและจากต่างประเทศด้วย กลุ่มแคร์มิได้ประสงค์จะวิจารณ์เรื่องคดี หรือคู่กรณี แต่ต้องการที่จะได้สะท้อนความต้องการของสังคม เก็บรับบทเรียนในเรื่องของกระบวนการยุติธรรมทั้งระบบ ที่จะต้องแก้ไขปรับปรุงเพื่อสร้างความเสมอภาค ความเป็นธรรม ไม่ให้เกิดสองมาตรฐาน ยึดหลักนิติธรรม สร้างความเชื่อมั่นแก่สมาชิกสังคม และส่งผลด้านบวกต่อภาคธุรกิจและเศรษฐกิจต่อไป กลุ่มแคร์จึงขอเชิญชวนประชาชนและสื่อมวลชน มาร่วมเปิดมิติความคิด ความเห็นต่อคดีตัวอย่าง โดยมีวิทยากรรับเชิญที่จะร่วมสนทนาเพื่อเปิดมุมมองด้วยความห่วงใย ได้แก่ นายมานิตย์ สุธาพร อดีตผู้พิพากษาและอดีตรองปลัดกระทรวงยุติธรรม นายรณกรณ์ บุญมี รองคณบดีฝ่ายนวัตกรรมและผอ.บัณฑิตศึกษา คณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ น.ส.มานิดา ซินเมอร์แมน นักกฎหมายมืออาชีพ ภาคธุรกิจ นายอานุภาพ ธีรณิศรานนท์ ผู้จัดรายการวิทยุและที่ปรึกษากฎหมาย

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน