ประเทศไทยผ่านเลือกตั้งมา 2 สัปดาห์ บรรยากาศการเมืองกลับเต็มไปด้วยการข่มขู่คุกคาม ให้ร้าย ปลุกความเกลียดชัง ย้อนยุค 6 ตุลา มีทหารออกมาปลุกความรักชาติ ราวกับจะเกิดรัฐประหาร แต่เอ๊ะ นี่มันรัฐบาลจากรัฐประหารอยู่แล้วนี่นา ไม่ใช่พรรคอนาคตใหม่เป็นรัฐบาล ธนาธรเป็นนายกฯ ถ้าอย่างนั้นละก็ เกิดรัฐประหารแหงๆ

ในขณะเดียวกัน ก็มีการดำเนินคดี เอาธนาธรขึ้นศาลทหาร แจ้งจับปิยบุตรหมิ่นศาล นี่ก็ย้อนยุค ยังกับเพิ่งรัฐประหารใหม่ๆ จับกุมคนต่อต้าน ไม่ใช่เพิ่งเลือกตั้งหมาดๆ

ท่ามกลางความงุนงงของชาวบ้าน มีคนวางเดิมพัน นี่ถ้าเป็นรัฐบาลเพื่อไทย เลือกตั้งเป็นโมฆะแหงๆ แต่นี่เป็นรัฐบาลลุงตู่ มันจะเป็นโมฆะได้ไง เห็นแต่เรืองไกร ไปเล่นตลกย้อนแย้ง ยื่นผู้ตรวจการแผ่นดินให้ล้มเลือกตั้ง

ทำไมหลังเลือกตั้งจึงมีบรรยากาศราวกับยึดอำนาจ ก็เพราะ การเลือกตั้งถูกจัดวางไว้ เป็นขั้นบันไดสำคัญของการยึดอำนาจ นั่นคือใช้การเลือกตั้งเปลี่ยนผ่านสู่อำนาจตามระบอบรัฐธรรมนูญ 2560 ที่ตัวเองร่างไว้

แต่ผลเลือกตั้งไม่เป็นไปตามคาด แม้อาจเป็นนายกฯ ได้โดยง่าย 126 ส.ส.+250 ส.ว. แต่จะไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลที่มีเสถียรภาพ ต่อให้พรรคประชาธิปัตย์เอาด้วย ก็เป็นรัฐบาลปริ่มน้ำ หมด ม.44 ไม่นานก็พัง เพราะขาดความชอบธรรม และไม่อยู่บนฐานความนิยมของประชาชน

อ้างไปสิ Popular Vote สูงสุด 8.4 ล้าน รวมลุงกำนัน 8.9 ล้าน แต่ 7 พรรคฝ่ายต้าน 16.5 ล้าน ซึ่งถ้าไม่เข้มแข็งจริง คงฝ่าห่ากระสุนมาไม่ได้

ซ้ำร้าย การเลือกตั้งยังปลุกประชาชนให้ตื่นตัว ปลุกพลังคน รุ่นใหม่ที่น่ากลัว พรรคอนาคตใหม่ 6.2 ล้านเสียง ชนะ Popular Vote ในกรุงเทพฯ ในตัวเมือง ในเขตมหาวิทยาลัย พลังคนรุ่นใหม่ยังมีแนวโน้มจะกลายเป็น “ขบวนการนักศึกษา” ตั้งโต๊ะล่าชื่อถอดถอน กกต.แทบทุกมหาวิทยาลัย

และอย่าลืมพรรคเพื่อไทย ทั้งที่ทักษิณกดปุ่ม delete ตัวเอง ก็ยังเป็นพรรคมวลชนที่เหนียวแน่น ภาคอีสาน ภาคเหนือตอนบน ส.ส.ถูกดูดไปเท่าไหร่ ฝ่าอำนาจ ฝ่าอิทธิพลเพียงไร มวลชนก็ยังเลือกพรรคเพื่อไทย พลังประชารัฐเป็นพรรคมวลชนอย่างนี้ไหม

ตั้งรัฐบาลยังไม่ได้ มองยาวไกลก็น่ากลัว พังเมื่อไหร่ยับเยินแน่ ไม่เฉพาะ คสช. แต่สะเทือนทั้งกองทัพ

เลือกตั้งไม่เป็นอย่างที่หวัง แต่ล้มเลือกตั้งก็ไม่ได้ เพราะจะยิ่งไปกันใหญ่ มีบางคนเพ้อเจ้อ ตั้งรัฐบาลไม่ได้ไม่เห็นเป็นไร ลุงก็อยู่ไปยาวๆ โดยมี ม.44 ตลอดกาล ปัดโธ่ คิดว่าลุงจะลากถูฝ่าแรงกดดันได้นานเท่าไหร่

จึงกลายเป็นตลกร้าย ประชาชนจำนวนมากไม่ไว้วางใจ กกต. แต่ คสช. (คณะรัฐประหาร) กลับต้องปกป้องการเลือกตั้ง ปรามกระแสล่าชื่อถอดถอน กกต. ขณะที่ กกต.ก็ไล่ฟ้องชาวบ้านหมิ่นประมาท จนถูกต้านหนักเข้าไปอีก

ในสถานการณ์ที่ตันไปทุกด้าน จึงเกิดความพยายามกระชับอำนาจ เกิดปฏิบัติการจิตวิทยา ทำลายความชอบธรรมของคะแนนเสียงประชาชน 16.5 ล้าน

จากเมื่อก่อน จน โง่ ถูกซื้อ เป็นทาสประชานิยม เป็นเหยื่อทักษิณ ตอนนี้ก็กลายเป็นคนรุ่นใหม่ถูกหลอก ถูกธนาธรใช้คลื่น V2K ล้างสมอง ยัดข้อหา “ความคิดอันตราย” ให้พรรคอนาคตใหม่ ใครร่วมมือกับไอ้พวกนี้ คือพวกไม่รักชาติ กปปส.ในพรรคประชาธิปัตย์ก็ขานรับ ใครไม่ร่วมรัฐบาลลุงตู่ ไม่รักชาติศาสน์กษัตริย์ ทั้งที่นายหัวชวนปราม อย่าอยากเป็นรัฐมนตรีจนตัวสั่น

เชื่อเหอะ เดี๋ยวก็จะมีการชิงตัว “งูเห่า” โดยอ้างว่าต้องย้ายข้างมาหนุนลุง เพื่อความมั่นคงของชาติ

ถามจริง ว่ามันทำลาย 16.5 ล้านเสียงได้ไหม หรือจะผลักให้ไปอยู่ตรงข้ามทุกสิ่งทุกอย่าง เหมือนที่เคยทำกับคนเลือกไทยรักไทย เสื้อแดง เพื่อไทย ซึ่งพลังไม่ได้ลดลง แม้ครั้งนี้คนเลือกเพื่อไทยลด แต่ก็เพิ่มความหลากหลายจากคนที่เลือก “ฝ่ายประชาธิปไตย”

อย่างน้อยๆ ก็เห็นได้ คนที่เคยเป็นพันธมิตรนกหวีดหลายราย ไม่เห็นด้วยกับการให้ร้ายอนาคตใหม่

การเป็นฝ่ายรุกกระชับอำนาจ ใช่ว่าจะได้เปรียบเสมอไป เช่นการขุดคดี 4 ปีก่อนเอาธนาธรขึ้นศาลทหาร โดยอ้างว่าเปลี่ยนพนักงานสอบสวนจนสำนวนค้าง จะชี้แจงอย่างไรว่าเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม ชาวบ้านก็รู้กัน

ฝรั่งยังรู้เลย กระทั่งเจ้าหน้าที่ทูต 12 คนไปสังเกตการณ์ แล้ว กระทรวงต่างประเทศก็โวยวาย ว่าเขาก้าวก่ายกระบวนการยุติธรรม

จัดเลือกตั้งอยากให้ฝรั่งยอมรับ ให้กลับมาเจรจาค้าขายลงทุน แต่พอเขาขอสังเกตการณ์การใช้ศาลทหารกับหัวหน้าพรรค การเมืองที่เพิ่งชนะเลือกตั้ง ก็บอกว่าประเทศเราเป็นเอกราช ฝรั่งอย่ายุ่ง

รุกได้รุกไป ใช้อำนาจได้ใช้ไป แต่อย่าลืมว่าที่ทำได้เพราะมีปืนมีกฎหมาย จนคนต่อต้านไม่ได้ แต่ทำอย่างไรก็เปลี่ยนใจคนไม่ได้ เปลี่ยนคะแนนเสียงอันชอบธรรมที่มาจากการเลือกตั้งไม่ได้ คนที่ไม่ยอมรับก็ยิ่งไม่ยอมรับ เพียงรอจังหวะโอกาสเท่านั้น

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน