จะปล้นอำนาจอีกครั้ง?

ใบตองแห้ง

เห็นกระแสบดขยี้ธนาธร อนาคตใหม่ แบบถ้าหัวหน้าพรรคขาดคุณสมบัติ เท่ากับโกงเลือกตั้ง ต้องยุบทั้งพรรค แม้รู้สึกเดือดดาล แต่ก็ไม่วายขำปนสังเวช

ที่เดือดดาล หรือเรียกว่าหงุดหงิดรำคาญ เพราะรู้สึกเสียเวลาชีวิต เบื่อหน่ายพวกต่ำตม ไร้ตรรกะเหตุผล อ้างทุกอย่างเข้าข้างตัวเองเพื่อเอาชนะ ทำไมสังคมต้องย่ำเท้าอยู่กับคนพวกนี้มา 13 ปี ไม่สามารถพัฒนาสติปัญญา

คน 6.2 ล้านเลือกอนาคตใหม่เพราะธนาธรถือหุ้นวีลัค? ไม่ใช่เพราะต้องการให้ต่อต้านการสืบทอดอำนาจ ลบล้างผลพวงรัฐประหาร ปฏิรูปกองทัพ แก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับ อย่างนั้นหรือ ช่างน่าสังเวชกระไรกับการบิดเบือนเจตนารมณ์

เช่นกัน คน 52,165 คนก็ไม่ได้เลือกสุรพล เกียรติไชยากร เพราะถวายเงินพระ คน 7.9 ล้านเลือกพรรคเพื่อไทยเพื่อ ต่อต้านรัฐประหาร ตอบโต้ความอยุติธรรมที่ทำไว้กับพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน และมวลชนเสื้อแดง เมื่อปี 53

จะใช้อำนาจอะไร จะเรียกว่ากฎหมายหรืออะไรก็ได้ ก็ ไม่สามารถลบเจตนารมณ์ 16.5 ล้านเสียงที่เลือก 7 พรรค

ไม่ว่าใช้ความพยายามอย่างไร เพื่อตั้งรัฐบาลสืบทอดอำนาจให้ได้ ก็ไม่สามารถลบลืมว่ามีคน 16.5 ล้าน ต้านประยุทธ์ไม่ให้ไปต่อ

ในขณะที่คนหนุน แม้อ้าง popular vote แต่ 8.4 ล้านที่ได้มาจากการดูด ส.ส. จากการวางระบบบัตรใบเดียว บีบให้ประชาชนบางส่วนต้องเลือก ส.ส.ด้วยความผูกพันตัวบุคคล ถามว่า 8.4 ล้าน มีคนรักลุงจริงจังสักกี่คน

กติกาเลือกตั้งถูกวางให้เป็นการ “ปล้นอำนาจ” ตั้งแต่ต้น ด้วย 250 ส.ว.แต่งตั้ง แต่ก็ยังได้เสียงก้ำกึ่ง ท่ามกลางข้อกังขาต่อ กกต. ซึ่งถูกล่าชื่อไล่เกือบล้าน ทั้งในแง่ประสิทธิภาพ การบริหารจัดการ การนับคะแนนและรายงานผล ที่สังคมข้องใจ ย้อนไปถึงการแบ่งเขตเลือกตั้ง ที่มาของอำนาจ ซึ่ง มาจากการสรรหาแต่งตั้งในยุค คสช.

แล้ว กกต.ก็จะต้องรับเผือกร้อน ในอีก 14 วันข้างหน้า ไม่เพียงกรณีธนาธร พรรคอนาคตใหม่ หรือการแจกใบส้ม ที่ถูกจับตาว่าจะแจกฝั่งไหนบ้าง เพราะเมื่อเสียงก้ำกึ่ง ใบส้ม 17 ใบก็มีผลต่อการเปิดประชุมสภา ตั้งรัฐบาล

หากยังมีสูตรคำนวณ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ ที่ศาลรัฐธรรมนูญตีกลับ ให้ กกต.รับผิดชอบเอง ว่าจะใช้สูตร กรธ.หรือไม่ ถ้าใช้ ก็จะตัด ส.ส.พึงมีของพรรคที่ได้มาก ไปเติมให้พรรคที่ได้ ส.ส.เศษคน กลายเป็นเต็มคน

ซึ่งในเบื้องต้น สูตรนี้ก็จะลด ส.ส. 7 พรรคลงไปถึง 7 คน จาก 253 เหลือ 246 คน (ตอนนี้ 245 เพราะโดนใบส้มแล้วหนึ่งคน)

เห็นได้ชัดว่ามีความพยายาม “ปล้นอำนาจ” กันอีกครั้ง ครั้งนี้ไม่ใช่ด้วยปืนด้วยรถถัง หากเป็นความพยายามใช้ เครื่องมือที่เรียกว่า “กฎหมาย” ซึ่งประชาชนต่อต้านได้ยาก นอกจากห้ามวิพากษ์วิจารณ์จะมีความผิด ยังอ้างความชอบธรรมได้มากกว่าปืนรถถังอีกต่างหาก

แต่ความชอบธรรมที่อ้างนั้น อยู่บนหลักการประชาธิปไตย บนตรรกะเหตุผล หรือที่จริงโกงกันหน้าด้านๆ ชาวบ้านก็รู้แก่ใจ เหมือนวิกฤต 13 ปี ใช้กฎหมายทำลายความชอบธรรมของคะแนนเสียงประชาชนมากี่ครั้ง ก็ยังทำลายไม่ได้

การปล้นอำนาจด้วยปืนด้วยรถถัง ถึงจะดูเถื่อนๆ แต่จบง่าย เพราะบังคับคนได้ แต่การปล้นอำนาจโดยทำทีให้มีเลือกตั้งอย่างอารยะ หลอกให้คนมีความหวัง ให้ออกไปใช้สิทธิใช้อำนาจอธิปไตย ในคูหาเลือกตั้ง แล้วกลับมาใช้อำนาจที่ไม่ชอบธรรม ไม่ยุติธรรมไม่เป็นธรรม แต่อ้างว่าเป็นไปตามกฎหมาย ปล้นสะดมผลการเลือกตั้ง ทำลายเจตนารมณ์คน 16.5 ล้าน

นี่มันไม่จบง่ายหรอกนะ ปล้นอำนาจได้ก็ไม่ใช่จะอยู่ได้ อย่ามาข่มขู่ อย่ามาเรียกร้อง ให้ทุกคนอยู่ในความสงบ เพื่อประเทศชาติ เพื่อเศรษฐกิจดี

พูดง่ายๆ ว่าไม่ให้เลือกตั้งแล้วอยู่ต่อไปเรื่อยๆ ยังดีกว่าให้มีเลือกตั้ง แล้วหวนมาทำลายคะแนนเสียงของคน16.5 ล้าน โดยอ้างว่าเป็นกติกา อย่างนี้มันยั่วอารมณ์คนเกินไปไหม

แม้แน่ละ เฉพาะหน้าประชาชนไม่สามารถต่อต้านได้ เพราะมีอำนาจปืน อำนาจกฎหมาย มีกลุ่มผลประโยชน์ทางชนชั้น มีกลุ่มมวลชนที่ถูกปลุกความเกลียดชัง คอยสนับสนุน รวมทั้งยังมี “ทุนสามานย์” หนุนหลัง เช่นภาคธุรกิจที่แซ่ซ้องว่าทำอย่างไรก็ได้ให้บ้านเมืองสงบ ให้มีรัฐบาลเร็วๆ ไม่ต้องแยแสประชาธิปไตยความชอบธรรม สิ้นคิดแจกตังค์ไปเที่ยวคนละ 1,500 แล้วเศรษฐกิจจะดี

แต่ความไม่ชอบธรรม ไม่ยุติธรรม ความไม่พอใจของประชาชน ก็จะเป็นชนวนคุกรุ่นอยู่ตลอดไป พร้อมๆ กับความต่ำตมของระบอบ ของอำนาจ เพียงยังเดาไม่ได้เท่านั้นเองว่าสุดท้ายจะเกิดอะไรขึ้น เพราะมันอาจเลวร้ายกว่าที่เคยมีมา

(หน้า 6)

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน