คอลัมน์ บทบรรณาธิการ
การประเมินเศรษฐกิจไทยเข้าสู่ไตรมาสสุดท้ายของปี 2563 ทั้งธนาคารไทยและธนาคารโลกได้ผลออกมาคล้ายๆ กันคือติดลบ
ธนาคารแห่งประเทศไทยประเมินว่า เศรษฐกิจไตรมาส 3 และ 4 จะขยายตัวติดลบเฉลี่ยร้อยละ 8.5 และจะติดลบไปจนถึงไตรมาส 1ของปี 2564
พร้อมมีคำแนะนำแนบมาว่า หากเงินเพื่อการฟื้นฟูและเยียวยาเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ยังเหลืออยู่ผลักดันออกมา น่าจะพอมีผลช่วยฟื้นฟู
เศรษฐกิจได้
แต่อุปสรรคที่ติดขัดอยู่คือการเว้นว่างของผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ทำให้หลายโครงการหยุดชะงัก และมีผลต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจโดยรวม
ด้านธนาคารโลก หรือเวิลด์แบงก์ ประเมินว่าอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยระดับพื้นฐานติดลบที่ร้อยละ -8.3 จากปี 2562 และหากแย่กว่านั้นระดับต่ำสุดจะติดลบร้อยละ -10.4
อัตราดังกล่าวถือว่าต่ำที่สุดในภูมิภาคอาเซียนที่มีตัวเลขติดลบเฉลี่ยร้อยละ -3.5 ถึง -4.7
เมื่อเปรียบเทียบกับเวียดนาม เพื่อนร่วมภูมิภาค มีอัตราการเติบโตบวกร้อยละ 2.8 จากปีก่อน และระดับต่ำสุดอยู่ที่ร้อยละ 1.5
บทวิเคราะห์ของเวิลด์แบงก์ดังกล่าวไม่ได้เปรียบเทียบผลงานรับมือโควิด-19ของไทยกับเวียดนาม เพียงระบุว่า ไทยรับมือโควิดได้ดีมาก แต่สมดุลกับการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจหรือไม่ รัฐบาลต้องใคร่ครวญเอง
ประเด็นน่าสนใจจากคำแนะนำของเวิลด์แบงก์คือไทยใช้งบเยียวยาผลกระทบโควิดสูงสุดในภูมิภาค หรือร้อยละ 13 ของจีดีพีปีนี้
แต่ผลที่ออกมาสะท้อนว่ายังใช้ไม่ตรงจุด
ดังนั้นแทนที่รัฐบาลจะตอบโต้เป็นแผ่นเสียงตกร่องว่า เป็นเพราะสถานการณ์โควิดทำให้เศรษฐกิจได้รับผลกระทบ รัฐบาลต้องย้อนกลับไปทบทวนมาตรการช่วยเหลือเยียวยาทางเศรษฐกิจ ว่าจะต้องแก้ตรงไหนจุดใด ทำอย่างไรให้เงินจำนวนมหาศาลนั้นใช้แก้ปัญหาตรงจุดมากที่สุด
คำถามอยู่ที่ว่าขุนคลังที่จะเป็นกำลังหลักในการทบทวนนี้มีแล้วหรือยัง