‘ประยุทธ์’ อัดหาเสียงสร้างความเกลียดชัง แจงใช้งบเพื่อความมั่นคง
ชี้คนโจมตีมุ่งทำลายทหาร

เมื่อวันที่ 22 ก.พ. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวตอนหนึ่งในรายการศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน ว่า นับตั้งแต่วิกฤตการเงินโลกปี 2551 เศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบจากการหดตัวของกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมหลัก โดยเฉพาะเรื่องการส่งออก ซึ่งได้เข้ามาเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ภาคเอกชนไทยชะลอการลงทุน อีกทั้งยังมีปัญหาความไม่แน่นอนทางการเมืองในช่วงถัดมา ทำให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนยังไม่ดีนัก ภาครัฐจึงได้เข้ามามีบทบาทช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น และเร่งผลักดันโครงการลงทุนขนาดใหญ่เพื่อช่วยกระตุ้นให้เกิดการลงทุนภาคเอกชนตามมา

ทั้งนี้ งานศึกษาหลายชิ้น ชี้ว่าการลงทุนภาครัฐ โดยเฉพาะการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญ ที่จะช่วยกระตุ้นให้เกิดการลงทุนภาคเอกชนเพิ่มขึ้นได้ อีกทั้งจะช่วยกระตุ้นความต้องการต่อสินค้าและบริการของประชาชน ช่วยลดต้นทุนของการดำเนินธุรกิจโดยเฉพาะด้านการขนส่ง ซึ่งจะเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของประเทศ ช่วยสร้างโอกาสทางธุรกิจ ที่เป็นการขยายโครงข่ายคมนาคม ซึ่งจะเอื้อให้เกิดการกระจายตัวของความเจริญไปยังชนบท รวมทั้งช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับภาคเอกชนและการสร้างบรรยากาศการลงทุนที่ดีอีกด้วย

นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า การลงทุนภาครัฐ ถือเป็นอีกค่าใช้จ่ายที่จะส่งผลกระทบต่อหนี้สาธารณะของประเทศ โดยในปีงบประมาณ 2561 ที่ผ่านมา จากรายจ่ายประจำและรายจ่ายลงทุนของภาครัฐ มีสัดส่วนประมาณร้อยละ 73 และ 22 ของงบประมาณทั้งหมดตามลำดับ ซึ่งการนี้ รัฐบาลได้เร่งลงทุนในโครงการต่างๆ มาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้สัดส่วนการลงทุนภาครัฐปรับขึ้นร้อยละ 5 ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา

ขณะที่ล่าสุด ประเทศไทยมีหนี้สาธารณะเทียบกับจีดีพี ผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาตินะครับ อยู่ที่ร้อยละ 41.8 ซึ่งแม้จะยังต่ำกว่าเกณฑ์สากลที่ร้อยละ 60 แต่รัฐบาลนี้ ก็ให้ความสำคัญกับการรักษาวินัยทางการคลัง เพื่อให้สามารถดำเนินนโยบายต่างๆ ได้อย่างราบรื่นทั้งในระยะปานกลางถึงระยะยาว โดยจะต้องไม่ให้เกิดภาระหนี้ภาครัฐ ที่จะส่งผลต่อความเชื่อมั่นของประเทศนะครับ อีกทั้งรัฐสามารถที่จะเพิ่มรายได้และใช้จ่ายงบประมาณให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย

นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า หากจะเปรียบเทียบแล้ว ระดับการลงทุนทั้งภาครัฐและเอกชนของไทยในปัจจุบัน ยังอยู่ในระดับต่ำกว่าวิกฤตต้มยำกุ้งเมื่อปี 2540 ขณะที่การลงทุนในประเทศอื่นๆ สามารถฟื้นตัวกลับมาลงทุนได้ สูงกว่าในช่วงวิกฤตดังกล่าว แนวทางสำคัญที่รัฐบาลนี้นำมาใช้ดำเนินการเพิ่มขึ้นก็คือ โมเดลธุรกิจแบบร่วมทุน หรือการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ ที่เรียกกันย่อๆ ว่าพีพีพี

ซึ่งเป็นการการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนเพื่อจัดทำโครงการ โครงสร้างพื้นฐาน และบริการสาธารณะ ซึ่งเป็นหน้าที่ของรัฐ แต่รัฐมอบหมายให้เอกชนดำเนินการจัดทำโครงการดังกล่าวแทน ผ่านสัญญาร่วมลงทุน โดยเอกชนอาจเข้ามามีส่วนร่วมในการก่อสร้าง การบริหารโครงการ รวมถึงได้รับผลประโยชน์จากโครงการร่วมกับรัฐด้วย ซึ่งการลงทุนในรูปแบบนี้ จะช่วยแบ่งเบา ภาระงบประมาณภาครัฐและหนี้สาธารณะของประเทศ รวมถึงช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายในระบบเศรษฐกิจเพิ่มขีดความสามารถของประเทศ และยกระดับบริการด้านสาธารณูปโภคให้เพียงพอต่อความต้องการของพี่น้องประชาชน

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า สำหรับโมเดลพีพีพีทำได้หลายรูปแบบ สามารถเลือกใช้ให้เหมาะสมกับประเภทของโครงการ เช่น โครงการรถไฟฟ้า ที่รัฐร่วมลงทุนที่ดินและก่อสร้างให้ ส่วนเอกชนจะเป็นผู้ลงทุน ตัวรถ ระบบเดินรถและการเดินรถ ซึ่งเอกชนต้องรับความเสี่ยงจากผลประกอบการและต้องส่งมอบกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินของโครงการให้แก่ภาครัฐเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาสัญญา เป็นต้น

จึงไม่ต้องกังวลว่ารัฐบาลนี้ จะยกทรัพย์สินของรัฐให้เอกชน ที่ผ่านมารัฐบาลนี้ สามารถทำให้มีรถไฟฟ้าสำหรับพี่น้องประชาชนในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลได้ทั้งหมด 10 สาย รวมส่วนต่อขยาย เทียบกับก่อนเข้ามาบริหารประเทศ ซึ่งดำเนินการอยู่เพียง 2 สาย ทั้งนี้การให้เอกชนเข้ามามีส่วนร่วมนั้น นอกจากจะช่วยลดภาระงบประมาณของภาครัฐดังกล่าวข้างต้นแล้ว

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า สำหรับกรณีงบประมาณค่าใช้จ่ายทุกกระทรวง ทั้งฝ่ายความมั่นคงและฝ่ายอื่นๆ ให้ดูจากข้อเท็จจริงว่าเป็นอย่างไร รายได้ของประเทศเพิ่มขึ้นหรือไม่ ตั้งแต่ปี 2557 จนถึงปีปัจจุบัน แล้วการจัดสรรงบประมาณให้แต่ละกระทรวงเพิ่มขึ้น อย่างมีสัดส่วนสัมพันธ์กันอย่างไร ไม่ใช่เฉพาะฝ่ายความมั่นคง แต่ทุกกระทรวงย่อมกำหนดสัดส่วนในงบประมาณรายรับ-รายจ่าย อย่างชัดเจน รัฐบาลทุกรัฐบาลจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับทุกหน่วยงาน ทุกกิจกรรมทั้งในส่วนของประชาชน และในส่วนของพลเรือน ตำรวจ ทหาร ซึ่งจะเห็นได้ว่างบประมาณที่ลงไปสู่ประชาชนมากกว่าเดิมในทุกมิติ ทั้งระบบงานในปัจจุบันและการลงทุนเพื่อสร้างอนาคต สร้างรายได้ ให้กับประเทศ

“ไม่อยากให้นักการเมือง พรรคการเมือง นำมาหาเสียง ที่คลุมเครือ ไม่ชัดเจน จนนำมาซึ่งการสร้างความเกลียดชัง โดยไม่มีหลักการ ไม่เข้าใจกฎหมาย พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี หรือ พ.ร.บ.การเงินการคลังของรัฐ ซึ่งรัฐบาลนี้ยังไม่ได้ทำให้หนี้สาธารณะสูงขึ้น หรือกองทุนเงินสำรองของประเทศลดน้อยลงไปแต่อย่างใด การใช้จ่ายงบประมาณด้านความมั่นคงก็ใช้งบประมาณในส่วนที่ได้รับจัดสรร ใช้ในการซ่อมแซม จัดซื้อ จัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ เพื่อให้สามารถดำรงสภาพและศักยภาพของกองทัพของเราทุกคน”

“สิ่งที่เราคนไทยควรระลึกถึง คิดให้ถูกต้อง ก็คือความมั่นคง ความมีเสถียรภาพศักยภาพความสงบเรียบร้อย เป็นพื้นฐานสำคัญในการพัฒนาประเทศ ถ้าบ้านเมืองไม่มีความมั่นคง ไม่มีเสถียรภาพ เราก็จะทำอย่างอื่นๆ ไม่ได้เลยนะครับ และเราต้องสร้างความเชื่อมั่นให้กับนานาประเทศอีกด้วย สิ่งที่หลายคนพยายามโจมตี ให้ดูว่าความมุ่งหมายเป็นอย่างไร คืออะไรนะครับ วันนี้มีเพียงทหารและสถาบันที่เข้มแข็ง แล้วมีใครมุ่งทำลาย 2 สิ่งนี้อยู่หรือไม่ ช่วยกันคิดดู” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน