ดีอี แฉมือป่วน เว็บ “ชิมช้อปใช้” เป็นมือโปร ทำเป็นขบวนการ ลั่นไม่เกิน 1 สัปดาห์รู้ตัว

เมื่อเวลา 16.00 น. วันที่ 25 ต.ค. ที่ธนาคารกรุงไทย สำนักงานใหญ่ นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รมว.กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) แถลงข่าวหลังจากได้ร่วมหารือร่วมกับนายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เกี่ยวกับกรณีที่ระบบเทคโนโลยีของธนาคารฯ ที่ใช้ลงทะเบียนมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศ ชิมช้อปใช้เฟส 2 หลังจากพบว่ามีผู้ไม่หวังดีเข้ามาก่อกวนระบบลงทะเบียนในช่วงเช้าเวลา 06.00 น. ในวันที่ 25 ต.ค. 2562 ว่ากระทรวงดีอีได้รับการประสานงานตั้งแต่ช่วงเช้า จากกระทรวงคลัง และธนาคารกรุงไทย ถึงความผิดปกติในระบบการลงทะเบียนใช้สิทธิ์ฯ จากผู้ไม่หวังดีเข้ามาก่อกวน ทำให้ระบบมีปัญหาล่าช้า

จากการตรวจสอบข้อมูลทั้งหมด พบว่ามีผู้ไม่ประสงค์ดีสร้างระบบอื่นขึ้นมา อย่างเช่น ช่องทางชิมช้อปใช้ควิก เพื่อให้ประชาชนหลงเชื่อคิดว่าเป็นช่องทางลัดในการลงทะเบียนจึงเข้าไปในระบบนั้น และเมื่อระบบได้รวบรวมคนจำนวนมากเข้ามาในระบบ ส่งผลให้ระบบปกติของธนาคารกรุงไทยเกิดความล่าช้า ไม่ใช่การถูกแฮก เพราะไม่สามารถเข้ามาในระบบของธนาคารกรุงไทยได้ และต้องยอมรับว่าธนาคารกรุงไทยมีระบบป้องกันดีมาก ทำให้การดำเนินการของระบบอื่นจากผู้ไม่ประสงค์ดีเข้ามาไม่ได้ และทำให้กระบวนการลงทะเบียนของประชาชนทำต่อไปได้

ไม่พลาดข่าวสำคัญ แค่กดเป็นเพื่อนกับ ไลน์@ข่าวสด ที่นี่เพิ่มเพื่อน

“จากนี้จะรวบรวมข้อมูลหลักฐานทั้งหมด เพื่อเร่งติดตามผู้กระทำผิดมารับผิดทางกฎหมายโดยเร็วที่สุด เพราะถือว่าเป็นการหลอกลวงประชาชนให้เกิดความเสียหาย เข้าข่ายผิดพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ซึ่งทางธนาคารกรุงไทยได้ไปแจ้งความแล้ว จะมีการติดตามและจับกุมต่อไป และเท่าที่ตรวจสอบข้อมูลเป็นบุคคลที่มีความรู้ด้านเทคโนโลยีขั้นสูง ทำเป็นกระบวนการ และอยู่ในประเทศไทย” นายพุทธิพงษ์ กล่าว

ด้านนายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า ธนาคารกรุงไทยได้ทำเว็บไซต์ชิมช้อปใช้ดอทคอมให้มีระบบปกป้องความปลอดภัยไซเบอร์ซิเคียวลิตี้ขั้นสูง และมีเทคนิคดาต้า Analysis ขั้นสูง สามารถปกป้องข้อมูลที่เป็นสิทธิส่วนบุคคลได้อย่างปลอดภัย ดังนั้น ประชาชนเชื่อมั่นได้ เมื่อระบบการลงทะเบียนดังกล่าวมีความผิดปกติ จึงตรวจสอบความผิดปกติได้อย่างดี

ส่วน พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองผู้บังคับการปราบปรามกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี(ปอท.) กล่าวว่า การกระทำดังกล่าวได้ตรวจสอบพยานหลักฐานแล้ว พบว่ามีความผิดตามมาตรา 10 พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มีโทษจำคุก 5 ปี ปรับไม่เกิน 1 แสนบาท เป็นความผิดในเบื้องต้น ถ้ามีความผิดอื่นมาประกอบจะแจ้งข้อหาเพิ่มเติม และจะใช้เวลาไม่เกิน 1 สัปดาห์จะสามารถแจ้งหมายจับกุมผู้กระทำผิดได้

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน