โจทย์ฝ่ายค้านหลังแพ้เลือกซ่อม
โจทย์ฝ่ายค้านหลังแพ้เลือกซ่อม : ผลเลือกตั้งซ่อมเขต 5 นครปฐม เกิดการเปลี่ยนแปลงจากเลือกตั้ง 24 มี.ค.
เมื่อนายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ ผู้สมัครพรรคชาติไทยพัฒนา ได้รับเลือกเข้ามาด้วยคะแนนเสียงอันดับ 1 จำนวน 38,765 คะแนน อันดับ 2 นายไพรัฏฐโชติก์ จันทรขจร พรรคอนาคตใหม่ 28,882 คะแนน อันดับ 3 นายสุรชัย อนุตธโต พรรคประชาธิปัตย์ 13,061 คะแนน
ที่ว่าเปลี่ยนแปลงเนื่องจากผลเลือกตั้ง 24 มี.ค.
อันดับ 1 คือ นางจุมพิตา จันทรขจร พรรคอนาคตใหม่ 34,164 คะแนน อันดับ 2 นายสุรชัย อนุตธโต พรรคประชาธิปัตย์ 18,970 คะแนน อันดับ 3 นายระวัง เนตรโพธิ์แก้ว พรรคพลังประชารัฐ 18,741 คะแนน และอันดับ 4 นายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ พรรคชาติไทยพัฒนา 12,279 คะแนน
เป็นการเปลี่ยนแปลงนำมาสู่การวิเคราะห์ถึงสาเหตุจากทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน
เนื่องจากการที่พรรคชาติไทยพัฒนาเป็นผู้ชนะในสนามนี้ ทำให้ฝ่ายรัฐบาลได้ส.ส.เพิ่มขึ้น แม้จะเพียงแค่ 1 ที่นั่ง แต่ในสถานการณ์เสียงปริ่มน้ำก็ถือว่ามีความสำคัญต่อรัฐบาลอย่างยิ่งยวด
หากมองไกลไปถึงสนามเลือกตั้งซ่อมในอนาคต อีกอย่างน้อย 3 เขตด้วยกัน ไม่ว่าเขต 2 กำแพงเพชร เขต 5 สมุทรปราการ หรือเขต 7 ขอนแก่น ผลเลือกตั้งเขต 5 นครปฐม ชัยชนะในสนามแรกยังนับเป็นสัญญาณดีของฝ่ายรัฐบาล
เหมือนที่พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ในฐานะประธานยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารัฐ ประกาศรุกต่อเข้าไปในพื้นที่อีสาน เขต 7 ขอนแก่น ในทันที หลังชัยชนะของพรรคร่วมรัฐบาล เขต 5 นครปฐม
“พรรคพลังประชารัฐจะส่งผู้สมัคร ส.ส.ลงท้าชิงแน่นอน เนื่องจากทางพรรคพลังประชารัฐอยากตีพื้นที่ทางอีสานเพิ่มขึ้น” พล.อ.ประวิตรระบุ
จากการที่ตระกูล “สะสมทรัพย์” หรือบ้านใหญ่นครปฐม กลับมาทวงคืนความเกรียงไกรได้สำเร็จ
นายเผดิมชัยเผยว่า ส่วนหนึ่งเป็นเพราะตนเองลงพื้นที่หาเสียงทำการบ้านอย่างหนัก โดยใช้ยุทธ วิธีผ่านตระกูลสะสมทรัพย์ที่รับใช้ประชาชนชาวนครปฐมมานานกว่า 30 ปี กับอีกส่วนหนึ่งยังเป็นเพราะว่าพรรคแกนนำรัฐบาลอย่างพลังประชารัฐถอนตัวจากการลงแข่งขัน
เปิดกว้างให้ชาติไทยพัฒนาและประชาธิปัตย์ส่งผู้สมัครลงแทน
นั่นหมายความพรรคพลังประชารัฐมีส่วนกับชัยชนะของพรรคชาติไทยพัฒนาด้วยเช่นกัน
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พลังงาน เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงผลเลือกตั้งครั้งนี้ นอกจากความสามารถของนายเผดิมชัยและพรรคชาติไทยพัฒนา ยังสะท้อนถึงสิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งว่า
ประชาชนให้ความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลพล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ผลักดันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจแก้ปัญหาปากท้องประชาชน
จึงลงคะแนนเลือกพรรคร่วมรัฐบาลเข้ามาด้วยคะแนนเสียงท่วมท้น
แน่นอนความยินดีปรีดาของพรรครัฐบาลย่อมเป็นบรรยากาศแตกต่างกับทางฟากฝั่งพรรคฝ่ายค้าน โดยเฉพาะพรรคอนาคตใหม่ที่ไม่สามารถป้องกันแชมป์สนามนี้ไว้ได้ ต้องเสียส.ส. 1 ที่นั่งให้กับฝ่ายรัฐบาล
พรรคอนาคตใหม่และพรรคร่วมฝ่ายค้านคาดหวังให้การเลือกตั้งซ่อมนครปฐม เป็นจุดเริ่มต้น “โดมิโน” ความพ่ายแพ้ของพรรครัฐบาล ล้มทับไปยังการเลือกตั้งซ่อม 3 เขต 3 จังหวัดต่อจากนี้
แต่แล้วความหวังเปลี่ยนดุลการเมืองในสภาด้วยชัยชนะของฝ่ายค้านในสนามเลือกตั้งซ่อม ก็ต้องประสบความเพลี่ยงพล้ำตั้งแต่สนามแรก
ทั้งนี้ ต้องยอมรับว่าช่วงโค้งสุดท้ายเลือกตั้งซ่อมนครปฐม พรรคอนาคตใหม่ตกอยู่ในสถานการณ์ไม่ค่อยดีนัก อันเป็นผลมาจากปัญหาหลายเรื่องทั้งภายในภายนอกที่เข้ามากระทบ จนได้รับการวิเคราะห์ว่า มีส่วนต่อผลเลือกตั้งไม่มากก็น้อย
ตั้งแต่กรณีเวทีบรรยายพิเศษ “แผ่นดินของเราในมุมมองด้านความมั่นคง” ของพล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ. ถึงจะไม่มีการพูดถึงชื่อพรรคการเมืองใด แต่สังคมก็รู้ว่าหมายถึงพรรคอนาคตใหม่ นอกจากนี้ พล.อ.อภิรัชต์ยังคุ้นเคยกับพรรคชาติไทยพัฒนาและตระกูล “สะสมทรัพย์” อีกด้วย
ไม่ว่ากรณีปัญหาความเป็นเอกภาพภายในพรรค สะท้อนจากการปรากฏตัวเอิกเกริกของส.ส.กลุ่มหนึ่งที่โหวตสวนมติพรรคในสภา ระหว่างการเปิดพิจารณาพ.ร.ก.โอนอัตรากำลังพลฯ และร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563
ไม่ว่ากรณีนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ขึ้นให้การต่อศาลรัฐธรรมนูญในคดีหุ้น แล้วตอนหนึ่งได้กล่าวพาดพิงถึงนายทักษิณ ชินวัตร ในทางไม่ดีนัก อาจทำให้กองเชียร์พรรคเพื่อไทยไม่พอใจ ซึ่ง ส่งผลทางอ้อมกับการเลือกตั้งซ่อมนครปฐม
เพราะอย่างที่รู้กันว่าชัยชนะสนามนี้เมื่อ 24 มี.ค. นอกจากกระแสพรรคและกระแสธนาธร เพื่อไทยที่ไม่ได้ส่งผู้สมัคร ประกอบกับไทยรักษาชาติถูกยุบพรรค ทำให้คะแนนเสียงฝ่ายประชาธิปไตยพร้อมใจกันเทมาให้พรรคอนาคตใหม่ กลายเป็นชัยชนะเด็ดขาดของนางจุมพิตา
ครั้งนี้คะแนนผู้สมัครพรรคอนาคตใหม่ลดลงไปกว่า 6,000 คะแนน ส่งผลให้พ่ายแพ้ต่อผู้สมัครพรรคชาติไทยพัฒนาซึ่งครั้งที่แล้วเข้ามาเป็นอันดับ 4 อย่างขาดลอย จะเป็นด้วยสาเหตุใดสาเหตุหนึ่ง หรือหลายสาเหตุรวมกัน
หรือเกี่ยวข้องกับการที่ กกต.จัดให้มีการลงคะแนนในวันพุธหรือไม่ เพราะถึงจะเป็นหยุดนักขัตฤกษ์ แต่ก็มีผู้ใช้แรงงานบางส่วนที่เป็นฐานเสียงของบางพรรคไม่ได้หยุดงานออกมาใช้สิทธิ หรือบางคนอาจมีอุปสรรคในการเดินทางกลับมาเลือกตั้งที่ภูมิลำเนา ตัวเอง
เหล่านี้เป็นเรื่องทีมงานพรรคอนาคตใหม่ต้องนำมาถอดรหัส
สแกนหาความผิดพลาดโดยละเอียด
รวมถึงเรื่องความเป็นเอกภาพภายในพรรคร่วมฝ่ายค้าน 7 พรรค ที่ควรดำเนินไปในลักษณะแสวงจุดร่วม สงวน จุดต่าง ถ้อยทีถ้อยอาศัยมากกว่าจ้องซัดกันเองแม้กระทั่งเรื่องเล็กๆ น้อยๆ จนส่งผลเสียหายใหญ่อย่างคาดไม่ถึง
เพราะหลังจากนี้ไม่เพียงแต่การเลือกตั้งซ่อม 3 เขตที่ยังเหลือ ซึ่งส.ส.เจ้าของพื้นที่เดิมเป็นฝ่ายรัฐบาล 2 เขต ฝ่ายค้าน 1 เขต
ถึงความพ่ายแพ้ในสนามแรกจะเป็นเรื่องน่าผิดหวัง น่าเสียดาย แต่ข้อดีคือทำให้ฝ่ายค้านได้มองเห็นจุดอ่อนตัวเอง เพื่อครั้งต่อไปจะได้วางหมากให้เหนียวแน่นรัดกุมกว่าเดิม
ยังมีกรณีการยื่นญัตติเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลในประเด็นปัญหาต่างๆ ที่สังคมยังค้างคาใจ ซึ่งคาดว่าจะมีขึ้นภายในไม่เกินสิ้นปีนี้หลังจากสภาเปิดสมัยประชุมในวันที่ 1 พ.ย.
ตลอดจนการผลักดันแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 ซึ่งเป็นเป้าหมายใหญ่สำคัญที่สุดของพรรคฝ่ายประชาธิปไตย
ถ้าหากต่อจากนี้พรรคร่วมฝ่ายค้านที่นำโดยเพื่อไทย–อนาคตใหม่นำผลการเลือกตั้งซ่อมเขต 5 นครปฐม มาเป็นบทเรียนในการทำงานร่วมกัน
โรดแม็ปต่างๆ ที่วางไว้ไม่ว่าจะเลือกตั้งซ่อม การยื่นญัตติไม่ไว้วางใจ ไปจนถึงการผลักดันแก้ไขรัฐธรรมนูญ การเปลี่ยนดุลการเมืองในสภาก็ยังมีโอกาสประสบความสำเร็จ
เพราะเอาเข้าจริงๆ ชัยชนะเขต 5 นครปฐม ทำให้ฝ่ายรัฐบาลมีกำลังใจเพิ่มขึ้นในการเลือกตั้งครั้ง ต่อๆ ไป
แต่ขณะเดียวกันรัฐบาลก็ต้องตีโจทย์ให้ชัดเจน ด้วยว่า ชัยชนะที่ได้มาเป็นเพราะผลงานตามนโยบายรัฐบาล หรือมาจากปัจจัยอื่นๆ ที่เป็นหลักมากกว่า อย่างเช่นคะแนนนิยมในตัวบุคคลเจ้าของพื้นที่ การใช้กลไกหัวคะแนนอย่างได้ผล รวมถึงการใช้อิทธิพลบารมีซึ่งมีน้ำหนักมากกว่าคะแนนนิยมที่มาจากผลงานรัฐบาล
สรุปการเลือกตั้งเขต 5 นครปฐม ยังเป็นตัวชี้วัดสถานการณ์ทางการเมืองได้ไม่ชัดเจนนัก
ทั้งยังทิ้งโจทย์การบ้านไว้ให้สองฝ่ายทั้งรัฐบาลและฝ่ายค้านเก็บเอาไปคิด วางแผนในการต่อสู้ครั้ง ต่อไปทั้งในสนามเลือกตั้งและในสภา
โดยมีสถานีต่อไปอยู่ที่การยื่นญัตติเปิดอภิปราย ไม่ไว้วางใจ