ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ปลุกพลัง-ทวงคืนปชต.เต็มใบ

ปลุกพลัง-ทวงคืนปชต.เต็มใบ – หมายเหตุ : นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ เปิดใจกับ ‘ข่าวสด’ ถึงการเดินหน้าทำงานทางการเมืองแม้จะไม่มีสถานะส.ส. การทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชน รวมถึงสถานการณ์ทางการเมืองที่จะเกิดขึ้นในปี 2563 ซึ่งถูกมองว่าจะร้อนแรง

การขับเคลื่อนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

เป็นเรื่องสำคัญที่พ่อแม่พี่น้องประชาชนทุกคนต้องรู้ตรงๆ ว่า วาระนี้เป็นวาระของฝ่ายค้าน และที่ผ่านมาหลังการเลือกตั้ง เรารณรงค์ตามสิ่งที่เราสัญญาไว้กับประชาชนมาตลอด เดินรณรงค์มาตลอด ไปไม่รู้กี่จังหวัด ไม่รู้กี่เวที ที่จะพูดถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้

แต่สิ่งที่เกิดขึ้น รัฐบาลจะไฮแจ๊กประเด็นการ แก้รัฐธรรมนูญ อย่างแรก คือ การแก้รัฐธรรมนูญ เขาส่งคนที่ไม่จริงใจในการแก้รัฐธรรมนูญเข้ามาเป็นประธานกรรมาธิการ และจะกีดกันไม่ให้แก้ในมาตราสำคัญที่เกี่ยวข้องเนื้อหาใจความที่ไม่เป็นประชาธิป ไตย แต่จะไปแก้ในมาตราเล็กๆ หยุมหยิมที่เกี่ยวข้องกับการทำงาน เทคนิคเล็กๆ เพื่อให้ทำงานสะดวกขึ้น แล้วขโมยซีนบอกพี่น้องประชาชนได้ว่า แก้แล้วไง

กระแสการแก้รัฐธรรมนูญกำลังเป็นที่สนใจของพี่น้องประชาชน แต่เขากลัวว่ากระแสนี้จะไปต่อ รัฐบาลจึงยอมตั้งคณะกรรมาธิการชุดนี้ สิ่งสำคัญคือ ต้องบอกประชาชนให้เข้าใจว่า กรรมาธิการชุดนี้มันปาหี่ ให้ไปดูรายชื่อแต่ละคนได้เลย ผมฟันธงได้เลย ว่าจะเป็น ข้อเสนอปาหี่ และไม่มีความก้าวหน้า

ยกตัวอย่างการแก้ไขที่มาของส.ว. ให้มาจากการเลือกตั้งจะไม่เกิดขึ้น การแก้ไขอำนาจ ส.ว.ไม่ให้โหวตเลือกนายกรัฐมนตรีจะไม่เกิดขึ้น การยกเลิกคณะกรรมการยุทธศาสตร์แห่งชาติที่มีสิทธิฟ้องรัฐบาลได้จะไม่เกิดขึ้น การแก้ไขอำนาจและที่มาของศาลรัฐธรรมนูญ กกต. ป.ป.ช. ที่ไม่ยึดโยงกับประชาชน ที่ไม่ยึดโยงกับสภา จะไม่เกิดขึ้น กระบวน การเลือกตั้งที่แย่ที่พวกเขาออกแบบมากฎกติกาแบบนี้ เพื่อไม่ให้มีพรรคใหญ่ เพื่อให้มีพรรคเล็กเต็มไปหมด เพื่อให้พรรคการเมืองอ่อนแอจะได้ควบคุมได้ ดังนั้นเรื่องที่สำคัญของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ที่จะไม่ถูกแก้ไข

คาดว่ารัฐบาลชุดนี้จะอยู่ครบเทอมหรือไม่

คำถามนี้คงให้คำตอบไม่ได้ แต่คาดว่าปีหน้าน่าจะเห็นภาพอะไรที่ชัดเจนมากกว่านี้

ขณะนี้หลายฝ่ายมองว่าพรรคอนาคตใหม่กำลังปลุกระดมมวลชนลงถนน เกรงว่าจะเป็นข้ออ้าง ในการรัฐประหารอีกครั้งหรือไม่

ผมอยากให้เราย้อนกลับมาดูว่า 10 ปีที่ผ่านมา ความขัดแย้งหายไปหรือไม่ หรือคุณคิดว่า 5 ปีที่ผ่านมา ความขัดแย้งหายไปหรือไม่ ที่คุณเห็นความสงบคือความขัดแย้งที่หายไปหรือไม่ มันไม่ใช่ นี่ไม่ใช่ความสงบ แต่นี่คือการกดขี่ ความขัดแย้งไม่ได้หายไป หากย้อนหลังกลับไปดูรัฐธรรมนูญที่ดึงอำนาจกลับเข้าสู่ตัวเองคนเดียว มันพาประเทศไทยไปต่อไม่ได้

รัฐธรรมนูญฉบับนี้ คือ ตัวแทนของระบบระบอบที่ต้องการแช่แข็งประเทศไทย ต้องการเหนี่ยวรั้งประเทศเอาไว้ไม่ให้ไปข้างหน้า คำถามคือ มันจะเป็นยังไงต่อ ทางรอดเดียวที่เหลืออยู่คือ การจัดสรรอำนาจในระหว่างองค์กรต่างๆ สถาบันทางการเมืองต่างๆ กันใหม่ ไม่ว่าจะเป็นพรรคการเมืองควรจะมีอำนาจมากเท่าไร สภาผู้แทนราษฎรควรจะมีอำนาจมากน้อยเท่าไร ส.ว.ยังควรมีอีกหรือไม่ หรือถ้ามีต้องมีอำนาจเท่าไร องค์กรอิสระควรจะมีอำนาจเท่าไร กองทัพควรมีอำนาจและบทบาทอย่างไร ภาคประชาชนควรมีอำนาจและบทบาทอย่างไรบ้าง นี่คือการเกลี่ยอำนาจใหม่ นั่นคือ รัฐธรรมนูญฉบับใหม่

รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ คือ ข้อตกลงของสังคมใหม่ไปด้วยกันว่าต่อจากนี้เราจะเคารพรัฐธรรมนูญฉบับนี้ด้วยกัน หากคุณเป็นพรรคการเมืองที่แพ้การเลือกตั้ง คุณต้องรณรงค์และต่อสู้เพื่อการเลือกตั้งครั้งหน้า คุณอย่าลงถนนเพื่อนำสังคมไปสู่ทางตันอีก คุณเป็นกองทัพ ต้องออกจากการเมือง อย่าทำรัฐประหารอีก ทุกฝั่งทุกฝ่ายต้องกลับมาเคารพข้อตกลงร่วมกัน แต่ปัญหาวันนี้คือ เราไม่มีข้อตกลงร่วมกันที่ทุกฝ่ายยอมรับ

ดังนั้น ต้องร่างข้อตกลงร่วมกัน และอยู่ในข้อตกลงนั้น อย่าเดินนอกข้อตกลง นี่คือทางออกของประเทศไทยที่เหลืออยู่ ที่จะหลีกเลี่ยงการปะทะ หรือการเผชิญหน้า ปัญหาคือ คนที่ถือกุญแจที่จะไปไขกุญแจดอกนี้ เพื่อให้สังคมไปต่อได้ เปลี่ยนผ่านข้อตกลง ที่สังคมยอมรับอย่างสันติได้ แต่เขาไม่ยอมไขกุญแจ ถ้าผมตั้งคำถามว่า อะไรคือต้นตอของความวุ่นวาย ใช่คนที่ถือกุญแจหรือไม่ คนที่ผลักดันให้สังคมไทยเดินหน้าไปสู่ความสูญเสีย ไม่ใช่ประชาชน แต่เป็นคนที่ถือกุญแจดอกนั้น

จะเข้าร่วมกิจกรรมวิ่งไล่ลุง ในวันที่ 12 ม.ค. 2563 หรือไม่

ทางผู้จัดเขาเชิญมา ตอนแรกก็สองจิตสองใจว่าจะไปร่วมดีหรือไม่ แต่จอห์น วิญญู เชิญมาอีกทางหนึ่ง ถ้าผู้จัดเขาไม่ตะขิดตะขวงใจ ที่ผมจะไปร่วมงาน ผมก็จะไปร่วมงานด้วย

สถานการณ์การเมืองในปี 2563 คาดการณ์ว่าจะเป็นอย่างไร

หลักใหญ่ใจความยังอยู่ที่กระบวนการแก้รัฐธรรมนูญของกรรมาธิการชุดนี้ว่าไปต่อได้หรือไม่ ดูจากรายชื่อ ก็รู้แล้วว่าสังคมไทยจะมีความหวังหรือไม่มีความหวัง ซึ่งต่อไปจะมีการอภิปรายร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2563 วาระ 2 ซึ่งพรรคอนาคตใหม่ทำให้เห็นแล้วว่า วาระ 1 เราตั้งใจทำงานและอภิปรายพ.ร.บ.งบประมาณปี 2563 อย่างตั้งใจและสร้างสรรค์จริงๆ และในวาระ 2 เราก็จะทำให้พี่น้องประชาชนอีก ให้เห็นว่า พ.ร.บ. งบประมาณปี 2563 ฉบับนี้ไม่สามารถเยียวยาปัญหาสำคัญได้

ปัญหาใหญ่ของประเทศ มีเศรษฐกิจที่เติบโตช้า และเหลื่อมล้ำ ปัญหาการว่างงาน ปัญหาการแย่งชิงทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อม ขีดความสามารถของประเทศที่ลดลง ซึ่งพ.ร.บ.ฉบับนี้ไม่สามารถตอบโจทย์การแก้ปัญหาใหญ่ๆ ของประเทศได้เลย

เราจะใช้วาระ 2 อภิบายให้พี่น้องประชาชนฟังเป็นรายมาตรา ว่า เขาใช้เงินภาษีของประชาชนอย่างไม่มีประสิทธิภาพอย่างไร ต่อไปในเดือนม.ค.-ก.พ. จะมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ จากนั้นเป็นร่างพ.ร.บ.เพื่อศึกษาผลกระทบเกี่ยวกับการใช้อำนาจของคสช. การออกคำสั่งและการใช้มาตรา 44 โดยอาจารย์ปิยบุตร แสงกนกกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ และในสมัยประชุมสภาต่อไป จะเจอร่างพ.ร.บ. รับราชการทหาร หรือการยกเลิกการเกณฑ์ทหาร ฉะนั้นงานในสภา และรัฐบาลจะเจอแต่เรื่องใหญ่ๆ

ส่วนผมก็จะเดินหน้ารณรงค์การยกเลิกการเกณฑ์ทหารอย่างสันติ ถ้าเราเชื่ออะไร หรือสัญญาอะไรไว้ก่อนเลือกตั้ง เราก็ต้องทำอย่างนั้น ลำพังอนาคตใหม่เราทำให้ผ่านคงยาก เพราะเรามีส.ส. เกือบ 80 คน แต่เราต้องมีเสียงสนับสนุน 251 เสียง ถ้าผมไม่รณรงค์ ผมจะทำให้กฎหมายผ่านได้อย่างไร นี่ไม่ใช่เรื่องของกองทัพ แต่เป็นเรื่องของนโยบายการเมือง กองทัพมาพูดเรื่องนี้ได้อย่างไร ถ้าอยากพูดเรื่องนี้ให้ลาออกจากกองทัพและมาตั้งพรรคการเมือง

ผมสัญญากับประชาชนไว้ก่อนเลือกตั้ง หลังการเลือกตั้ง ผมเอานโยบายที่สัญญาไว้กับประชาชน และนี่คือคำสัญญาระหว่างกัน 1 เสียงที่พวกเขาให้ผม เพราะเขาหวังว่าผมจะนำนโยบายที่สัญญาไว้ไปทำจริง เมื่อเข้าสู่สภา ก็ต้องทำจริง ให้ประชาชนเห็น ผมรณรงค์จริง มันวุ่นวายตรงไหน ผิดกฎหมายตรงไหน รุนแรงตรงไหน

ทุกครั้งที่ผมเดินรณรงค์ ผมไม่ได้ถือปืนไปรณรงค์ด้วย แต่อาวุธที่ผมมีคือ ปาก หัวใจ และสมอง มีสองมือสองเท้า ผมเดินไปที่ไหนไม่ว่าจะเป็นตลาด สวนสาธารณะ มหาวิทยาลัย ผมไปทุกที่และรณรงค์อย่างสร้างสรรค์ตลอด ไม่มีอะไรที่รุนแรงหรือวุ่นวาย แพ้ชนะก็ไปวัดกันในสภา ถ้าไม่ผ่านในสภา แปลว่าผมยังทำงานไม่หนักพอ ยังสร้างกระแสให้พี่น้องประชาชนเข้าใจยังไม่พอว่าเรื่องนี้สำคัญอย่างไรต่อสังคมไทย จนถึงเลือกตั้งครั้งหน้าก็ต้องรณรงค์ต่อไป นี่คือกระบวนการที่สันติที่สุด

ไม่ว่าจะเป็นการแก้รัฐธรรมนูญ การยกเลิกการเกณฑ์ทหาร ล้มล้างอำนาจคสช. ซึ่งปีหน้าในไตรมาสแรก ผมจะยื่นไปอีกหนึ่งร่างพ.ร.บ.ที่ใช้หาเสียงไว้ คือ การปลดปล่อยเหล้าเบียร์เสรี และไตรมาส 2 จะยื่นไปอีกหนึ่งนโยบายคือ ร่างพ.ร.บ.ยุติระบบข้าราชการรวมศูนย์และกระจายอำนาจให้ท้องถิ่น ซึ่งผม จะรณรงค์ต่อในทุกพื้นที่ทุกกลุ่มประชาชนที่ผมสามารถ พูดคุยได้

รัฐบาลจะมาปิดกั้นผมได้อย่างไร เพราะผมทำทุกอย่างตามกระบวนการ แต่คุณไม่ให้ผมทำอย่างนี้ คุณไล่ผมออกมา คุณผลักผมออกมาใช่หรือไม่ ผมจึงต้องไปเปิดพื้นที่ทำการเมืองรูปแบบอื่น แต่ถ้าคุณให้ผมอยู่ในสภา จะผ่านไม่ผ่านก็ว่ากัน ถ้าพี่น้องประชาชนเห็นด้วยก็ปลุกเป็นกระแสสังคม พรรคอื่นเมื่อเห็นกระแสสังคมแล้ว พวกเขาก็ไม่อยากขัดใจประชาชน ก็อาจจะโหวตให้ร่างพ.ร.บ.ของอนาคตใหม่ผ่านไปได้

นี่คือวิธีการที่สันติ นี่คือการใช้กลไกทางสภาผลักดันการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นคนที่ขัดขืนการไหลของกระแส ธารการเปลี่ยนแปลง จะทำให้ประเทศเกิดวิกฤต

อนาคตใหม่จะเปลี่ยนพลังหน้าจอในโลกออนไลน์ หรือพลัง 6 ล้านเสียงที่สนับสนุนพรรคอนาคตใหม่ เพื่อออกมาเรียกร้องประชาธิปไตย เต็มใบได้อย่างไร

ผมคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ และไปไกลเกินจากผมและพรรคอนาคตใหม่เยอะมาก แต่เป็นเรื่องของอนาคตของคนไทยและลูกหลานของเรา ว่าตกลงประเทศไทยในอีก 10 ปี หรือ 20 ปี จากนี้เราจะอยู่กันอย่างไร จะอยู่กันอย่างนี้จริงๆ หรือ จะยอมแบบนี้จริงๆ หรือ และหากจะเปลี่ยนแปลงได้ แต่ผมตัวเล็กเกินไป ผมไม่มีพลังพอ ผมมีแค่ปากเดียว สมองเดียว สองมือ มันเปลี่ยนแปลงไม่ได้หรอก แต่ถ้าเราต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลง เราทุกคนต้องออกมาช่วยกัน

โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มีต้นทุนทางสังคม สิ่งหนึ่งที่ทำให้สังคมเดินมาแบบนี้ คือ คนที่มีต้นทุนทางสังคมไม่กล้ายืนยันในประชาธิปไตย ไม่กล้าในเรื่องที่ถูกต้องใช่หรือไม่ กลัวผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจว่าตัวเองจะได้ผลกระทบทางเศรษฐกิจ จึงไม่กล้าแสดงจุดยืนทางการเมืองที่ชัดเจนที่ถูกต้อง แล้วปล่อยภาระการต่อสู้เรื่องความยุติธรรม เรื่องความเท่าเทียม เรื่องประชาธิปไตย เป็นเรื่องของคนจน คนที่ถูกเอารัดเอาเปรียบ คนที่ถูกข่มขู่ คนที่ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนแล้วไม่มีใครสนใจ ซึ่งคนเหล่านี้คือคนที่ไม่มีต้นทุนทางสังคมที่ต้องออกมาสู้

ผมอยากเรียกร้องถึงคนที่มีต้นทุนทางสังคม คนที่มีชื่อเสียง คนที่ร่ำรวย คนที่อยู่ในสมาคมหอการค้า กลุ่มวิชาชีพต่างๆ กลุ่มอุตสาหกรรม กลุ่มธนาคาร สมาคมอะไรก็แล้วแต่ที่พอจะมีสถานะอยู่บ้าง ออกมาแสดงจุดยืนที่ชัดเจนว่าเราไม่ควรปล่อยให้สังคมเดินทางในเส้นทางนี้อีกต่อไป ไม่เช่นนั้นอีก 10 ปี เราก็จะอยู่แบบนี้ ผมคนเดียวทำไม่ได้ ถ้าทุกคนอยากเห็นความปกติทางสังคมกลับคืนมา อยากเห็นความเท่าเทียม อยากเห็นประชาธิปไตย นิติรัฐ นิติธรรม ทุกคนต้องช่วยกัน


ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน