เมื่อวันที่ 20 ก.ย. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) กล่าวระหว่างเป็นประธานประชุมสภานโยบายวิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2560 ว่า เป็นการบูรณาการสานต่อกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้งานวิจัยโตไปตามเป้าหมายของรัฐบาล วัตถุประสงค์มี 2 ประการ คือ1.การวิจัย สร้างสิ่งใหม่ สิ่งที่แตกต่าง เป็นการพัฒนาต่อยอด และสิ่งที่มีการวิจัยมาแล้ว ทั้งในต่างประเทศ และไทย 2.เน้นเรื่องการเกษตร จะทำอย่างไรให้คนของเราเข้าถึงผลผลิตจากการวิจัยได้ทั่วถึงในราคาประหยัด โดยแบ่งการทำงานออกเป็นคลัสเตอร์ นำไปสู่การจัดสรรงบประมาณที่เหมาะสม เพื่อนำไปสู่การผลิตและพิจารณาผลตอบแทนให้กับทั้ง 3 ส่วน คือรัฐ เอกชน และสถาบันต่างๆ
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า งานวิจัยเป็นสิ่งสำคัญในการพัฒนาประเทศในทุกมิติ ทั้งเรื่องเศรษฐกิจ สังคม ความมั่นคง การที่มีหน่วยงานที่เข้ามากำกับเพื่อช่วยให้การขับเคลื่อนงานวิจัยได้ครอบคลุมจึงมีความจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องดำเนินการ ในฐานะนายกรัฐมนตรี และประธาน สวนช. จึงขอสั่งการให้มีจัดตั้ง สำนักงานการวิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ ให้แล้วเสร็จภายใน 3 เดือน โดยในระยะแรกให้สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี และเชิญผู้ทรงคุณวุฒิที่เชี่ยวชาญด้านระบบวิจัยและนวัตกรรมทั้งภาครัฐ เอกชน และภาคการศึกษา เข้ามาเป็นที่ปรึกษา การดำเนินงานในระยะแรกให้มีการสังเกตการณ์และประมวลผลการทำงานเพื่อประเมินประสิทธิภาพและความคล่องตัว เพื่อนำข้อมูลมาวางแผนการดำเนินงานของสำนักงานในระยะที่ 2 ต่อไป
ซึ่งปัจจัยหลักที่ต้องพัฒนาเป็นอันดับแรกคือ คน เพราะในทุกระบบล้วนต้องมีคนเป็นตัวขับเคลื่อนประเทศจะเดินหน้าหรือหยุดอยู่กับที่ล้วนมีคนเป็นตัวแปรสำคัญ
“ยุทธศาสตร์การวิจัยและนวัตกรรม ต้องนำไปสู่การปฏิบัติได้จริง และเน้นย้ำการจัดสรรงบประมาณด้านการวิจัยและนวัตกรรมลงพื้นที่อย่างเหมาะสม โดยให้คำนึงถึงภูมิภาคทั้ง 6 ภูมิภาคของประเทศ โดยเฉพาะภาคตะวันออก เพื่อให้เกิดการกำหนดเป้าหมายด้านการจัดสรรงบประมาณให้ชัดเจนและมีประสิทธิภาพ และควรมีการเพิ่มเติมในส่วนของงานวิจัยเพื่อแก้ไขปัญหาประเทศ อาทิ เรื่องน้ำ และเรื่องผลผลิตทางการเกษตรตกต่ำ เป็นต้น”พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
ด้านนายกานต์ ตระกูลฮุน อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอสซีจี กรุ๊ป จำกัด ในฐานะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ สวนช. กล่าวว่า วันนี้ภาคเอกชนตื่นตัวและให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมขึ้นมาก เนื่องจากรัฐบาลให้ความสำคัญและลงมากำกับดูแลอย่างใกล้ชิด ส่งผลให้ภาคเอกชนลงทุนวิจัยเพิ่มขึ้น จากที่เคยลงทุนเพียง 0.2 % มานับสิบปี เพิ่มสูงขึ้นเป็น 0.62 ในปี 2558 และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อย ขณะเดียวกันไม่ใช่กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ เท่านั้นที่จะขับเคลื่อนเรื่องงานวิจัย ตอนนี้หลายๆ กระทรวงก็ชูประเด็นงานวิจัยในการพัฒนาประเทศ ซึ่งถือเป็นแนวทางที่ดี แม้จะไม่ใช่เรื่องง่ายในการเปลี่ยนแปลง แต่ขอชื่นชมนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลที่จุดประกายและผลักดันให้เกิดการตื่นตัวด้านงานวิจัยในทุกภาคส่วน
นายกิติพงค์ พร้อมวงค์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมชาติ (สวทน.) กล่าวว่า ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการและอนุกรรมการภายใต้ สภานโยบายวิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ โดยได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการด้านนโยบายและยุทธศาสตร์การวิจัยและนวัตกรรม ซึ่งมี สวทน. และสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) เป็นเลขานุการร่วม ได้ดำเนินการประชุมหารือและประชุมเชิงปฏิบัติการ รวมถึงได้จัดประชุมประชาพิจารณ์ (ร่าง) ยุทธศาสตร์การวิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ 20 ปี ไปแล้วเมื่อวันอังคารที่ 12 ก.ย.ที่ผ่านมา โดยฝ่ายเลขานุการร่วม ได้ปรับแก้รายละเอียดของ (ร่าง) ยุทธศาสตร์ฯ ดังกล่าว ตามข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากการประชุมต่าง ๆ และได้นำเสนอ (ร่าง) ยุทธศาสตร์ฯ ต่อที่ประชุม สวนช. โดยที่ประชุมได้เห็นชอบในหลักการของ (ร่าง) ยุทธศาสตร์ ดังกล่าว และเสนอให้เพิ่มเติมในส่วนของยุทธศาสตร์ด้านดิน น้ำ และป่าไม้ ซึ่งรวมถึงระบบป้องกันภัยธรรมชาติ และการรับมือกับด้านเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อให้ครอบคลุมการทำงานในทุกมิติ
ทั้งนี้ ในที่ประชุม นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้เลขานุการร่วม สวนช. หาวิธีการจัดสรรงบประมาณด้านการวิจัยและนวัตกรรมกระจายลงในแต่ละภูมิภาคอย่างมีประสิทธิภาพ โดยอาจใช้รูปแบบการจัดสรรงบประมาณโดยการจัดตั้งกองทุนว่าด้วยเรื่องวิจัยและนวัตกรรม และการให้สิทธิประโยชน์ต่างๆ เป็นต้น

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน