เมื่อวันที่ 19 ต.ค. ศาลอาญาคดีทุจริตเเละประพฤติมิชอบ ถนนสีคาม ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในคดีหมายเลขดำ อท.43/2558 ที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นางเบญจา หลุยเจริญ อดีตรมช.คลัง สมัยรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และอดีตรองอธิบดีกรมสรรพากร, น.ส.จำรัส แหยมสร้อยทอง อดีต ผอ.สำนักกฎหมาย, น.ส.โมรีรัตน์ บุญญาศิริ อดีต ผอ.สำนักกฎหมาย, นายกริช วิปุลานุสาสน์ ผอ.สำนักกฎหมาย กรมสรรพากร และน.ส.ปราณี เวชพฤกษ์พิทักษ์ คนใกล้ชิดของเลขานุการส่วนตัวของคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร อดีตภรรยานายทักษิณ เป็นจำเลยที่ 1-5 ในความผิดฐานร่วมกันเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ราชการ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157

คดีนี้ ป.ป.ช.ยื่นฟ้องแผนกคดีทุจริตฯ ในศาลอาญา เมื่อวันที่ 3 ธ.ค. 2558 ระบุพฤติการณ์สรุปว่า จำเลยที่ 1-4 ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานของกรมสรรพากรปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อไม่ให้นายพานทองแท้ และน.ส.พินทองทา ชินวัตร บุตรของนายทักษิณ ต้องเสียภาษีอากร หรือเสียภาษีน้อยกว่าที่จะต้องเสีย และได้รับประโยชน์ที่มิควรโดยชอบด้วยกฎหมาย

จากการที่นายพานทองแท้ และน.ส.พินทองทา ซื้อหุ้นบริษัทชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด เมื่อปี 2549 คนละ 164,600,000 หุ้น ในราคาพาร์หุ้นละ 1 บาท ขณะที่ราคาตลาดหุ้นละ 49.25 บาท ถือได้ว่านายพานทองแท้ และน.ส.พินทองทา เป็นผู้ได้รับเงินพึงประเมิน ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 39 และมีหน้าที่ต้องเสียภาษีของส่วนต่างราคาหุ้น คนละ 7,941,950,000 บาท ซึ่งการกระทำนั้นทำให้กรมสรรพากร กระทรวงการคลัง และราชการเสียหาย จำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธต่อสู้คดี

โดยศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาเมื่อวันที่ 28 ก.ค. 2559 เห็นว่าการกระทำของจำเลยที่ 1-4 ในการตอบข้อหารือที่ขัดไป ก่อให้เกิดความเสียหายต่อกรมสรรพากร ซึ่งความผิดสำเร็จตั้งแต่การตอบข้อหารือ โดยจำเลยที่ 5 ซึ่งหารือมายังสำนักกฎหมาย แล้วนำคำหารือไปใช้ประโยชน์ จึงมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนพิพากษาว่า จำเลยที่ 1-4 มีความผิดฐานปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และ 83 ให้จำคุกคนละ 3 ปี

ส่วนจำเลยที่ 5 มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุน เจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และ 86 มีโทษ 2 ใน 3 จึงให้จำคุกเป็นเวลา 2 ปี และเมื่อพิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีของจำเลยทั้งหมด จึงไม่มีเหตุให้รอการลงโทษ ต่อมาจำเลยทั้งหมดได้ประกันตัวหลักทรัพย์คนละ 3 เเสนบาท

ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันเเล้ว เห็นว่าอุทธรณ์ของจำเลยทั้งหมดฟังไม่ขึ้น ส่วนที่อุทธรณ์ขอให้ลงโทษสถานเบานั้น เห็นว่าสภาพความผิดของจำเลยทั้ง 5 มิได้คำนึงถึงความเสียหายความน่าเชื่อถือในการจัดเก็บภาษีของประเทศ พฤติการณ์เป็นเรื่องร้ายเเรง ที่ศาลชั้นต้นไม่รอการลงโทษ ศาลทุจริตเห็นพ้องด้วยพิพากษายืน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อทั้งสองศาลคือ ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายืนคดี ซึ่งในอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี เป็นคดีต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง หากจะยื่นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จะต้องให้ผู้พิพากษาที่ร่วมทำสำนวนหรืออัยการสูงสุดเซ็นรับรอง ซึ่งคล้ายกับกรณีของนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา นักเล่าข่าวชื่อดัง อย่างไรก็ดี ขณะนี้มีรายงานแจ้งว่าทางจำเลยเตรียมจะยื่นคำร้องขอประกันตัวในชั้นฎีกาด้วย

 

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน