ความฝันแบบจีน

ใบตองแห้ง

พรรคคอมมิวนิสต์จีนประชุมสมัชชาใหญ่ครั้งที่ 19 ทุกฝ่ายมองว่าจะเป็นการกระชับอำนาจของสี จิ้น ผิง เพราะจะเปลี่ยนแปลงตำแหน่งสำคัญจำนวนมาก ซ้ำจะแก้ไขธรรมนูญพรรค บัญญัติ ความคิดสี จิ้น ผิง” ทำให้เฮียสีเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ เทียบเท่าประธานเหมาและเติ้ง เสี่ยว ผิง

ไม่ต้องบอกคงรู้ว่าประเทศนี้มีแฟนคลับเฮียสีและพรรคคอมมิวนิสต์จีนเพียบ ไม่เพียงเพราะคนไทยเชื้อสายจีนมีมาก หากยังเป็นเพราะคนชั้นกลางระดับบนคนมั่งมีอยู่ในช่วงปฏิเสธ “ประชาธิปไตยตะวันตก” จนกลายเป็น “เจ๊กสยามหันขวาหาจีน” ตามคำของเกษียร เตชะพีระ

ความผูกพันยุคบรรพบุรุษโล้สำเภาอาจลึกล้ำ แต่ไม่ใช่เหตุหลัก เพราะหลังจากกุมอำนาจเศรษฐกิจ ส่งลูกหลานเรียนมหาวิทยาลัย “เจ๊กสยาม” ก็ยกฐานะเป็น “ผู้ดีไทย” ไปเรียบร้อยแล้ว ผูกพันกับ “ความเป็นไทย” ซาบซึ้งประวัติศาสตร์ยุคเทือกเขาอัลไตยิ่งกว่าคนไทยชนบทเสียอีก

การปฏิเสธประชาธิปไตยต่างหาก ที่ทำให้หันไปนิยมจีน เห็นไหม ระบอบพรรคเดียวไม่ต้องเป็นประชาธิปไตยก็ทำให้จีนยิ่งใหญ่ จะใหญ่เป็นเจ้าโลกแซงไอ้กันอยู่แล้ว (ทั้งที่ถ้าเป็นสมัย 6 ตุลา พวกนี้อาจเกลียดนักศึกษานิยมจีนจะโค่นล้มความเป็นไทย)

ฉะนั้นพอสี จิ้น ผิง ประกาศว่า “ประชาธิปไตยสังคมนิยมแบบจีนนั้นดีที่สุดกับประชาชนจีน ไม่จำเป็นต้องเลียนแบบระบบการเมืองของประเทศอื่น” ก็มีเสียงไชโยโห่ร้องลั่นประเทศไทย โดยไม่ต้องดูคำกล่าวอื่นๆ

คำกล่าวอื่นมีอะไรบ้าง สี จิ้น ผิง ประกาศว่าสังคมนิยมแบบจีนจะเข้าสู่ยุคใหม่ ที่ทั้ง ยิ่งใหญ่ มั่งคั่ง แข็งแกร่ง เป็นประชาธิปไตย ก้าวหน้าทางวัฒนธรรม มีความปรองดอง และงดงาม ในปี 2035

ฟังเหมือนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีของลุงแถวๆ นี้ แต่เฮียสียอมรับว่า “ความต้องการของประชาชนต่อการมีชีวิตที่ดีขึ้นนั้นขยายวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่มีเพียงความต้องการทางวัตถุและวัฒนธรรมอีกต่อไป แต่ต้องการประชาธิปไตย หลักนิติรัฐ ความยุติธรรม ความปลอดภัย และสภาพแวดล้อมที่ดีขึ้น”

บริบทมันต่างกัน เฮียสีแกพูดในประเทศที่ปกครองระบอบพรรคเดียวมา 70 ปี ยอมรับว่า “ไชน่าดรีม” “ชีวิตที่ดีขึ้น” ชักจะมีคำว่า “ประชาธิปไตย” เข้ามาเป็นยาดำ เฮียยังพูดถึงคำว่าสิทธิมนุษยชนด้วยนะ แม้บอกว่ายังต้องอยู่ใต้กฎหมายกำหนด (ก็พรรคคอมมิวนิสต์กำหนดนั่นละ)

ไม่แปลกหรอกครับ ที่ระบอบอำนาจเบ็ดเสร็จจะบริหารประเทศได้มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะเมื่อปกครองโดยพรรคหรือผู้นำที่มีอุดมคติ คนไทยจำนวนไม่น้อยแม้ไม่ใช่ “สลิ่ม” ก็ยังชอบระบอบจีนหรือสิงคโปร์ คิดว่าถ้าได้ผู้นำแบบนี้ประเทศคงไปไกล โดยไม่ดูบริบทเงื่อนไขที่ต่างกัน เช่น จีน สิงคโปร์ ไม่ได้เริ่มต้นจากสังคมอภิชนาธิปไตย ที่มีเครือข่ายอุปถัมภ์ยุบยับไปหมด

จีนหักเหสู่ทุนนิยมหลังปฏิวัติวัฒนธรรม หลังทำลายชนชั้น ลบล้างประเพณีความเชื่อเก่าๆ หากจะเหลืออภิชนก็คือสมาชิกพรรค แต่ผิดๆ ถูกๆ อย่างไร พรรคคอมมิวนิสต์ก็ยังมีรากเหง้าอุดมการณ์ สืบทอดจากผู้นำรุ่นปลดแอก ถึงรุ่นถัดมาอย่างสี จิ้น ผิงที่เคยถูกส่งไปใช้แรงงานในชนบทยุคปฏิวัติวัฒนธรรม

กระนั้นเมื่อเข้าสู่ทุนนิยมโดยรัฐ กระตุ้นให้รวยๆๆ อำนาจที่ตรวจสอบไม่ได้ก็เน่าใน สี จิ้น ผิง ได้รับความนิยมเพราะเข้ามากวาดล้างคอร์รัปชั่นขนานใหญ่ ทั้งระดับสูงระดับล่าง โดนไปล้านกว่าคน นี่แปลว่าอะไร แปลว่าก่อนหน้านี้เริ่มเสื่อมใช่ไหม

ก่อนประชุมครั้งนี้ พรรคคอมมิวนิสต์ขึ้นป้ายภาพประธานเหมา คู่กับสี จิ้น ผิง และเหลยเฟิง ใครหว่า? เหลยเฟิงเป็นพลทหารปลดแอกที่ตายด้วยอุบัติเหตุเมื่อปี 1962 อายุเพียง 22 ปี ประธานเหมาเอามาชูเป็นวีรบุรุษยุคปฏิวัติวัฒนธรรม จากความเป็นคนมัธยัสถ์ เสียสละ เห็นแก่ส่วนรวม พรรคคอมมิวนิสต์รื้อกลับมาชูเมื่อ 5 ปีที่แล้ว เพื่อให้เป็นแบบอย่างของคนรุ่นใหม่

การประชุมครั้งนี้ พรรคยังงดเสิร์ฟกุ้ง ปลิงทะเล งดสิทธิตัดผมทำผมฟรีในโรงแรม ดอกไม้ ของที่ระลึก ฯลฯ หลังจากที่ผ่านมาโดนชาวบ้านด่าว่าผลาญงบ

ระบอบพรรคเดียวอาจดูเข้มแข้งขึ้นในยุคสี จิ้น ผิง แต่ก็ต้องปรับตัวอย่างหนัก ภายใต้คำถามว่าคุณจะเป็นเหลยเฟิงอยู่ได้อย่างไรในสังคมที่แข่งกันรวยๆๆ คุณจะมีอำนาจโดยไม่ถูกตรวจสอบถ่วงคานได้อย่างไรในเศรษฐกิจใหญ่โตผลประโยชน์มหาศาล คุณจะปิดกั้นความเห็นได้อย่างไรในยุคที่เปิดกว้าง ลูกเศรษฐีใหม่ออกมาเรียนเมืองฝรั่งปีละครึ่งล้าน ฯลฯ

นั่นเป็นปัญหาของจีน แต่ใครที่ฝันจะตามก้นจีนยังมีคำถามมากกว่านั้น เช่น ระบอบของคุณมีอุดมคติ มีเอกภาพ เข้มแข็งมีประสิทธิภาพ ได้กระผีกของพรรคคอมมิวนิสต์จีนหรือเปล่า

(หน้า 6)

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน