‘ประยุทธ์’ สั่งขยายขีดความสามารถ รพ.ทหาร รับผู้ป่วยโควิด หนุนใช้พื้นที่ทหาร-ตร. ตั้ง รพ.สนาม พร้อมจัดชุดเคลื่อนที่เร็ว 138 ชุดลงพื้นที่ชุมชน

เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 23 ก.ค. 2564 ที่กระทรวงกลาโหม พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กลาโหม เป็นประธานการประชุมสภากลาโหม โดยมีผู้บัญชาการเหล่าทัพเข้าร่วมประชุมผ่านรูปแบบการประชุมสื่ออิเล็กทรอนิกส์

พ.อ.วีรยุทธ์ น้อมศิริ ผู้ช่วยโฆษกกระทรวงกลาโหม แถลงผลการประชุมว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม มอบนโยบายให้หน่วยขึ้นตรงกลาโหม(นขต.)และผู้บัญชาการเหล่าทัพ เน้นในการปฏิบัติและการให้ความรู้ในเรื่องมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 และเน้นการปฏิบัติเมื่อต้องออกไปช่วยเหลือประชาชนในสถานการณ์การแพร่ระบาดในปัจจุบัน รวมถึงการปลูกจิตสํานึกสาธารณะให้กับทหารกองประจําการที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเข้ามาทําหน้าที่ในบทบาทของทหาร และให้ทุก หน่วยฝึกทําการฝึกภายใต้มาตรการด้านการป้องกันและการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ตามที่ ศบค. กําหนดอย่างเคร่งครัด

ด้านพ.อ.วันชนะ สวัสดี รองโฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า เรื่องการแก้ปัญหาโรคโควิด-19 นายกฯ ขอบคุณกําลังพลของ กห. และเหล่าทัพในทุกระดับ ตั้งแต่พลทหารไปจนถึงระดับผู้บังคับบัญชาที่ได้ร่วมกันปฏิบัติหน้าในการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทั้งในการปฏิบัติหน้าที่ควบคุมบัญชาการในสถานที่ต่างๆ รวมถึงการประสานงานในแต่ละพื้นที่ การทําหน้าที่ของด่านหน้า และการจัดทีมป้องกันและแก้ไขปัญหาโควิด-19 เชิงรุกในชุมชนที่สนับสนุนให้กับกรุงเทพฯ ทั้ง 138 ชุด เป็นต้น รวมทั้งบุคลากรที่อยู่เบื้องหลังในการจัดตั้งโรงพยาบาลสนามทั้งในพื้นที่ทหาร และสนับสนุนหน่วยงานภายนอก

พ.อ.วันชนะ กล่าวต่อว่า นายกฯ ได้กําชับเรื่องการเตรียมพื้นที่ในหน่วยทหารให้เป็นพื้นที่พักคอย และโรงพยาบาลสนามทั่วทั้งประเทศ ที่ได้เตรียมไว้ก่อนหน้านี้ เมื่อมีความพร้อมจากการได้รับการสนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์และอุปกรณ์ทางการแพทย์จากสาธารณสุขแล้ว ขอให้เปิดใช้บริการโดยทันที พร้อมทั้งประสานการปฏิบัติกับสาธารณสุขในพื้นที่และให้ขยายทีมป้องกัน และแก้ไขปัญหา โควิด-19 เชิงรุกในชุมชนให้เพิ่มมากขึ้น

พ.อ.วันชนะ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ นายกฯ ยังกำชับหน่วยขึ้นตรงกระทรวงกลาโหม เหล่าทัพ และสํานักงานตํารวจแห่งชาติ ดํารงความต่อเนื่องในการสนับสนุนการดําเนินการของศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) ศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง (ศปม.) ในการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดโควิด-19 โดยพื้นที่ชายแดนให้บูรณาการการทํางานร่วมกับหน่วยงานด้านความมั่นคงที่เกี่ยวข้องในทุกภาคส่วน เพื่อเฝ้าระวังและคัดกรองผู้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร การรักษาความมั่นคงตามแนวชายแดน และการป้องกันการ ลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายทั้งทางบกและทางน้ํา

ส่วนพื้นที่ชั้นในสนธิกําลังทหาร ตํารวจ และฝ่ายปกครอง จัดตั้งด่านตรวจเข้มแข็ง ให้เป็นมาตรฐาน เดียวกัน เพื่อตรวจคัดกรองยานพาหนะและบุคคล ได้ครอบคลุมทุกการปฏิบัติตามข้อกําหนดฯ รวมทั้งจัดชุดสายตรวจเคลื่อนที่เร็ว ลงปฏิบัติการเชิงรุกในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด ทั้ง 13 จังหวัด พร้อมขยายขีดความสามารถของโรงพยาบาลทหาร เพื่อรองรับผู้ป่วยสีเหลืองและสีแดง และใช้พื้นที่ในหน่วยทหารและตํารวจ อาทิ สโมสร แหล่งสมาคม อาคารอเนกประสงค์ สนับสนุนการจัดตั้งโรงพยาบาลสนาม หรือใช้เป็นสถานที่ในการแยกกักตัวในชุมชน (Community Isolation)

รวมทั้งเตรียมการสนับสนุนกําลังพล เครื่องมือ และบุคลากรทางการแพทย์ที่ไม่ได้ปฏิบัติงานในสถานพยาบาล (บุคลากรทางการแพทย์แถวสอง) ให้พร้อมสนับสนุนการปฏิบัติงาน เพื่อรองรับจํานวนผู้ติดเชื้อที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ทั้งในพื้นที่กรุงเทพณปริมณฑล และต่างจังหวัด และให้คงการผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกําลังพลไปบริจาคโลหิตอย่างต่อเนื่อง เพื่อเก็บไว้เป็นโลหิตสํารอง และการบริจาคโลหิตแบบเร่งด่วนเมื่อได้รับการร้องขอจากโรงพยาบาลในพื้นที่

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน