ผู้ช่วย รมต.กต.ย้ำไทยส่งกลับอุยกูร์คำนึงสิทธิมนุษยธรรม พ้อหลายประเทศชี้นิ้วประณามไทยง่ายๆ เพื่อหาแพะ แต่หลายประเทศเนรเทศผู้อพยพกลับไม่มีใครประณาม

เมื่อวันที่ 16 มี.ค.2568 นายรัศม์ ชาลีจันทร์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงการที่ไทยตัดสินใจส่งตัวชาวจีนอุยกูร์ 40 คนกลับจีนว่า เป็นการตัดสินใจบนพื้นฐานของมนุษยธรรม และความถูกต้อง บนทางเลือกที่มีไม่มาก แน่นอนว่าไม่ว่าเลือกทางไหนก็ต้องมีผลกระทบมหาศาลตามมา เป็นราคาที่เราต้องจ่ายเพื่อสิ่งนั้น

นอกเสียจากจะเลือกวิธีขังเขาต่อจนตายคาคุกไป อย่างที่หลายคนเลือก ทั้งนี้ เป็นที่น่าเสียใจที่เพื่อนของเราบางประเทศไม่เข้าใจ และเลือกที่จะประณามเราง่ายๆ และเลือกการหาแพะมาสังเวยมโนธรรมของตัวเองแทน ซึ่งราคาของมนุษยธรรม ความถูกต้อง และการเป็นแพะสังเวยมโนธรรม (conscience scapegoat) และการชี้นิ้วประณามคนอื่นมักเป็นวิธีที่ง่ายกว่าเสมอ และบางทีก็ทำเพียงเพื่อได้แสดงว่าฉันเป็นคนดีนะ แล้วไปหาคนอื่นมาเป็นแพะ เพื่อสังเวยกลบเกลื่อนต่อมมโนธรรมของตนเอง

นายรัศม์ กล่าวว่า ทุกวันนี้หลายประเทศที่เคยชูเรื่องสิทธิมนุษยชน ต้องเผชิญปัญหาเรื่องผู้อพยพ หลายประเทศเริ่มเนรเทศคนเหล่านี้กลับไปยังประเทศต้นทาง ที่บ้างยังมีการสู้รบและมีอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ ประเทศเหล่านี้ทำได้ ไม่เป็นไร ไม่มีใครประณาม แต่เรื่องนี้มันบ่งบอกความจริงประการหนึ่งว่าการอพยพไปตั้งรกรากในประเทศที่สาม มันไม่ใช่เรื่องสวยงามง่ายดายขนาดนั้น อย่างที่หลายคนชอบนึก มันมีปัญหาเรื่องการปรับตัวให้เข้ากับสภาพสังคมที่แตกต่าง ที่ก็ไม่ได้อยากต้อนรับจริง มีการดูถูกเหยียดหยามเชื้อชาติ

“มีประเทศหนึ่งบอกว่าขออย่าให้ไทยส่งตัวชาวจีนอุยกูร์กลับไปให้จีน แต่ก็ไม่ได้บอกว่าจะรับคนเหล่านั้นไปอยู่ด้วยเอง โดยเสนอว่าจะให้เอาไปอยู่ในประเทศหนึ่งในแอฟริกา (ซึ่งจากข้อมูลที่ปรากฏ ประเทศที่ว่ายังมีความขัดแย้ง การสู้รบและก่อการร้ายอยู่) ถามว่านี่คือมนุษยธรรมแค่ไหน หรือเป็นเพียงแค่การเล่นเกมในความขัดแย้งของภูมิรัฐศาสตร์ (geo-politics) ของบางประเทศแค่นั้น” นายรัศม์ กล่าว

นายรัศม์ กล่าวต่อว่า เกณฑ์สำคัญในการพิจารณาการส่งคนกลับไปยังประเทศต้นทาง เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนและกฏหมายระหว่างประเทศหรือไม่นั้น มีหลักสองประการ คือต้องไม่บีบบังคับและต้องไม่ส่งไปแล้วเขาจะมีภัยอันตรายต่อชีวิต

ในกรณีของชาวจีนอุยกูร์ 40 คนนั้น จึงต้องมาดูว่าเข้าข่ายนี้ไหม ประการแรกเรื่องการบีบบังคับให้กลับ จากข้อมูลที่ได้จากเจ้าหน้าที่รับผิดชอบดูแลคนเหล่านี้ระหว่างถูกคุมขัง พวกเขามีการติดต่อกับญาติพี่น้อง และรับทราบถึงพัฒนาการความเจริญก้าวหน้ากินอยู่ดีของผู้คนในซินเจียงแผ่นดินเกิดของเขา เมื่อทราบว่าทางการจีนมีหนังสือรับรองสวัสดิภาพของพวกเขาเป็นทางการ พวกเขาก็เลือกที่จะกลับซึ่งการเลือกกลับไปอยู่กับสังคมญาติพี่น้อง ถิ่นฐานของตนเองที่พัฒนาแล้ว อาจดีกว่ารอในห้องขังต่อไปโดยไม่รู้จุดหมาย และต้องไปอยู่ในสังคมที่ไม่ได้ยินดีต้อนรับจริง

นายรัศม์ กล่าวอีกว่า ประการที่สอง พวกเขาจะมีภัยอันตรายต่อชีวิตไหมเมื่อกลับไปแล้วนั้น ก็เป็นเรื่องที่จะต้องพิสูจน์โดยมีหลักฐานเชิงวิทยาศาสตร์ต่อไป (ที่ไม่ใช่การคิดเอาเองตามความเชื่อหรือสมมติฐานส่วนตน) ซึ่งต้องมีการติดตามและตรวจสอบให้เป็นที่เชื่อถือได้ แต่อย่างน้อยที่สุดประเทศต้นทางได้ให้คำรับรองเป็นทางการ ที่เขาย่อมมีพันธะที่ต้องปฏิบัติตาม จากทั้งสองข้อนี้เมื่อเทียบกับสิ่งที่หลายประเทศทำในการเนรเทศคนกลับประเทศต้นทาง ที่บางแห่งมีการใส่กุญแจมือ ใส่ตรวนที่เท้า รวมทั้งส่งไปโดยไม่มีการรับรองความปลอดภัยในสวัสดิภาพใดๆ โดยคนเหล่านั้นอาจต้องเผชิญกับภัยอันตรายถึงชีวิต คำถามคือใครกันแน่ที่ละเมิดสิทธิมนุษยชน แต่แน่นอนว่าการชี้นิ้วประณามไทยมันย่อมง่ายกว่า และอาจทำให้เขาไม่ต้องรู้สึกผิดกับมโนธรรมตนเองมากนัก

“ในขณะที่หลายประเทศบอกไม่เชื่อในคำมั่นของจีน แต่ก็ยังคงมีปฏิสัมพันธ์ คบค้า ทำธุรกิจกับเขา
สิ่งนี้บอกถึงอะไร ชาวจีนอุยกูร์เหล่านั้นถูกขังมานานกว่าสิบปีโดยไม่มีความผิด (โทษหลบหนีเข้าเมืองนั้นหมดอายุไปนานแล้ว) การกักขังคนโดยไม่มีความผิดแม้เพียงวันเดียว ถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนรุนแรงไหม แต่ก็น่าแปลกใจที่คนไม่น้อย รวมทั้งนักสิทธิมนุษยชนบางท่านกลับเห็นด้วยว่าควรกักขังเขาต่อไปเรื่อยๆ ในขณะที่ไม่สามารถมีทางออกที่ดีกว่าและเป็นไปได้จริงมาเสนอ ซึ่งผลที่จะตามมาคือพวกเขาจะต้องตายคาคุก ซึ่งพวกเขาได้เสียชีวิตระหว่างถูกกักขังไปแล้วสองคน” นายรัศม์ กล่าว

 

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน