สู่การเมืองในอนาคต – เด็กในสมัยนี้อาจเปรียบได้กับนักการเมือง หมายความว่าทุกอย่างในชีวิตของนักเรียน นักศึกษาหลังจากนี้คืออนาคตของเขา นักเรียน นิสิต นักศึกษา ควรมีสิทธิเสรีภาพในการกำหนดอนาคตของตัวเอง

ยุคสมัยก้าวล้ำไปมากผู้ใหญ่ที่ไปชี้นำให้เดินตามเพราะว่าความคิดถูกที่สุดคงเป็นไปได้ยาก เพราะเด็กสมัยนี้มีความคิดที่เสรีภาพมาก สามารถที่จะสืบค้นข้อมูลในโลกอินเตอร์เน็ตได้ว่าข้อมูลใดมีความน่าเชื่อถือ ข้อมูลส่วนใดเป็นเท็จ นักการเมืองคนไหนเป็นอย่างไรบ้าง

ถ้ารัฐบาลทำอะไรสักอย่างที่ส่งผลกระทบต่อกลุ่มวัยรุ่นหรือต่อประชาชนคนรุ่นใหม่ย่อมต้องเข้ามามีบทบาทในเวทีการเมืองอย่างหลีกเหลี่ยงไม่ได้

อาจารย์รุ่งโรจน์ สุวรรณสิชณน์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า “จริง ๆ ผมอยากให้ประชาธิปไตยเริ่มต้นตั้งแต่มหาวิทยาลัย เช่น การเลือกตั้งจริง ๆ มีการแสดงความคิดเห็น สมมุติว่าเป็นนายกสภานักศึกษาของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ถ้าทำอะไรไม่ถูกต้องนักศึกษาคนอื่น ๆ ในมหาวิทยาลัยมีสิทธิ์ที่จะวิพากษ์วิจารณ์ได้ มีสิทธิ์ที่จะดำเนินกระบวนการตรวจสอบได้ หรือตั้งคำถามให้นายกสภานักศึกษาเป็นคนตอบว่าทำไมคุณถึงทำไม่ได้ตามที่พูดตกลงไว้

ทั้งหมดทั้งมวลสถาบันการศึกษาต้องเริ่มกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการเมืองใหญ่ให้เริ่มจากเด็กก่อน เปรียบเหมือนรูปแบบจำลองแต่มีการปฏิบัติจริงเมื่อจบจากตรงนี้ไปแล้วนักศึกษาต้องมีส่วนที่จะไปร่วมวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาล ทางรัฐบาลทุกรัฐบาลก็ไม่ควรที่จะมาดูถูกหรือดูหมิ่นทางความคิดของเด็กนักเรียน นักศึกษา

ถ้าหากลองมองภาพลักษณ์ความเป็นจริงแบบเป็นกลางจะรู้ว่าเด็กนั้นไม่มีใครสามารถที่จะชักจูงได้ ยุคปัจจุบันนักเรียน นักศึกษาสามารถเข้าไปค้นข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตก็จะทราบทันที เพราะฉะนั้นบทบาทของนิสิตนักศึกษาควรจะเริ่มตั้งแต่ในรั้วมหาวิทยาลัยตอนนี้เลย เราทำอะไรได้เราลงมือทำ ตราบใดสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ขัดต่อกฎหมาย สิ่งที่นักศึกษาทำได้เมื่อสามารถเปิดให้ชุมนุมในมหาวิทยาลัยโดยที่ไม่ผิดต่อกฎหมาย มหาวิทยาลัยไหนมีเสรีภาพมากก็สามารถทำได้

แต่บางมหาวิทยาลัยอาจจะมีผู้นำองค์กรที่ไม่เห็นด้วยอย่างที่เราเห็นในข่าวแบบนี้มันก็จะเป็นอุปสรรคต่อการชุมนุมของนักศึกษา มาตรการต่าง ๆ ที่มหาวิทยาลัยและสถาบันศึกษาควรจะมีก็คือไม่ควรไปลงโทษเด็กว่าถ้าคุณชุมนุมจะมีการตัดคะแนนความประพฤติหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ควรที่จะเปิดเวทีให้นิสิต นักศึกษาในการแสดงออก”

“ผมว่าทุกวันนี้นักเรียน นิสิต นักศึกษามีการระวังตัวเองกันอยู่แล้ว การชุมนุมที่ผ่านมาทำให้ผมมองเห็นเลยว่าบางเรื่องนักศึกษารู้ว่าอะไรที่พูดได้และพูดไม่ได้ อีกประเด็นหนึ่งทีนักศึกษาเสี่ยง คือ การชุมนุมในท้องถนนลงไปยังพื้นที่จราจร ซึ่งขัดต่อกฎหมายแน่นอน

แต่สิ่งที่ผมมองและแสดงความคิดเห็นเสมอ คือ การชุมนุมไม่ว่าจะเป็นการชุมนุมอะไรก็แล้วแต่ถ้าเรามีการชุมนุมแบบมามาหยุดหยุด แกนนำมีความเสี่ยงในการดำเนินคดีแน่นอน แต่ถ้ามีการชุมนุมที่ยืดเยื้อจริง ๆ มีการเจรจาและมันจบจริง ๆ อันนี้โอกาสที่แกนนำหรือคนที่ขึ้นไปปราศรัยโอกาสที่จะได้โดนดำเนินคดีก็มีโอกาสอยู่

แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่มีการชุมนุมมาแล้วหยุดเสี่ยงอย่างมากนอกจากแกนนำจะโดนดำเนินคดีอาจจะมีข้อหาอื่น ๆ มากมายและความปลอดภัยของผู้ที่เข้าร่วมการชุมนุมด้วยอันนี้ก็อยากที่จะให้ระวัง นักศึกษาปัจจุบันไม่ได้ใช้อาวุธ อาวุธของพวกเขา คือ สื่อโซเชียลมีเดีย คำพูด ตัวย่อมากมาย ฯลฯ นี้คืออาวุธของนักศึกษาและนี้คือการชุมนุมแบบสันติแล้ว ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่รัฐบาลจะออกกฎหมายมาคลุมแล้วจะบอกว่านักศึกษาควรที่จะอยู่ในกรอบนี้

การชุมนุมครั้งนี้ถือว่าเป็นการชุมนุมแบบสันติและนักศึกษาทุกคนก็จะต้องปลอดภัย” อาจารย์รุ่งโรจน์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวทิ้งท้าย

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน