คุณกำลังสนใจที่จะซื้อเครื่องสำรองไฟฟ้า หรือ UPS อยู่ใช่ไหม แต่ติดปัญหาตรงที่ยังไม่รู้ว่าจะต้องพิจารณาเลือกจากอะไรดี วันนี้เราเลยจะมาแนะนำกันว่าหากจะเลือกซื้อเครื่องสำรองไฟฟ้า หรือ UPS สักเครื่องจะต้องพิจารณาจากอะไรกันบ้าง

  1. พิจารณาจากอุปกรณ์ที่คุณจะนำเครื่อง UPS ไปใช้ด้วย

หากคุณต้องการนำเครื่อง UPS ไปใช้กับอุปกรณ์ไฟฟ้าที่มีความสำคัญมาก เช่น เครื่องมือวัด, เครื่องมือแพทย์, Computer Server ขนาดใหญ่, ระบบสำรองไฟสำหรับเครื่องจักรอุตสาหกรรม ก็ควรเลือกใช้ UPS แบบ True on line UPS แต่ถ้าคุณต้องการนำเครื่อง UPS ไปใช้กับอุปกรณ์ไฟฟ้าทั่ว ๆ ไปอย่างคอมพิวเตอร์ก็แนะนำให้เลือกใช้เครื่อง UPS แบบ Line Interactive UPS with Stabilizer จะเหมาะสมที่สุด เป็นต้น

  1. สถานที่ ที่จะนำเครื่อง UPS ไปใช้

ก่อนเลือกซื้อ UPS ไปใช้สักเครื่องคุณต้องพิจารณาคุณภาพของกระแสไฟฟ้าของสถานที่ที่จะนำ UPS ไปใช้งานมีลักษณะเป็นอย่างไร เช่น หากคุณนำไปใช้ในสถานที่มีปัญหาเรื่องความแปรปรวนของกระแสไฟฟ้ามาก ๆ อย่างบริเวณชายแดน, พื้นที่ที่อยู่ใกล้แหล่งจ่ายไฟใหญ่ ๆ แนะนำให้เลือกใช้ UPS แบบ True on line UPS แต่ถ้าเป็นสถานที่ทั่วไปที่ไม่มีปัญหาเรื่องคุณภาพของกระแสไฟฟ้ามากนักก็แนะนำให้เลือกแบบ Line Interactive UPS with Stabilizer แทนนั่นเอง

  1. ขนาดกำลังไฟฟ้า (VA) ที่อุปกรณ์ไฟฟ้าที่ต้องการใช้กับ UPS

ก่อนเลือกซื้อ UPS คุณควรตรวจสอบให้ดีก่อนว่าเครื่องใช้ไฟฟ้าที่คุณต้องการนำ UPS ไปใช้งานด้วยนั้นต้องใช้กำลังไฟฟ้า (VA) เท่าไร โดยควรเลือก UPS ที่มีขนาดใหญ่กว่ากำลังไฟของเครื่องใช้ไฟฟ้าเพื่อสำรองไว้ในกรณี Overload (กำลังไฟฟ้าของเครื่องใช้ไฟฟ้าไม่ควรเกิน 80% ของกำลังไฟฟ้า UPS) โดยการคำนวณขนาดของ UPS ที่เหมาะสมกับอุปกรณ์ไฟฟ้า สามารถทำได้ดังนี้

  • ดูอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าทั้งหมดทุกชิ้นที่ต้องการต่อพ่วงกับระบบ UPS ว่าใช้ไฟฟ้ากี่วัตต์ หรือกี่ VA เช่น คอมพิวเตอร์, จอ, โมเด็ม, สแกนเนอร์ และอุปกรณ์ที่จำเป็นอื่นๆ โดยอุปกรณ์ไฟฟ้าแต่ละชนิดจะมีป้ายแสดงค่าพิกัดกำลัง (Nameplate) ท้ายเครื่อง (ป้ายนี้จะแสดงข้อมูลแรงดันไฟฟ้า และกระแสไฟฟ้า)
  • ให้คำนวณค่า VA โดยการนำค่า Volt และ Amps มาคูณกัน หากป้ายแสดงข้อมูลของอุปกรณ์ไฟฟ้า แสดงค่าพลังงานไฟฟ้าในหน่วยวัตต์ (Watt-W) ให้แปลงกลับเป็นค่า VA ด้วยการนำค่าวัตต์มาคูณด้วย 1.4
  • หลังจากคำนวณค่า VA หรือ Watt ของอุปกรณ์ทุกชิ้นแล้ว ให้นำค่าทั้งหมดมารวมกัน
  • นำค่าที่ได้หลังจากรวมกันแล้วไปหารด้วย 0.8 ก็จะทำให้คุณทราบได้ว่าควรเลือก UPS ที่มีกำลังไฟตั้งแต่เท่าขึ้นไป เช่น รวมแล้วได้ 200Watt ให้คำนวณด้วย 200/0.8 = 250Watt นั่นหมายความว่าคุณควรเลือก UPS ที่มีกำลังไฟมากกว่า 250Watt ขึ้นไปนั่นเอง
  1. ระยะเวลาที่ต้องการให้ UPS จ่ายพลังงานสำรอง

ลองถามตัวเองว่าหากไฟฟ้าดับ คุณต้องการให้อุปกรณ์ไฟฟ้าที่ต่อพ่วงกับ UPS ยังสามารถใช้ต่อได้นานเท่าไร หากต้องการให้มีระยะเวลาในการใช้งานที่มากกว่าปกติ แนะนำเลือกใช้ UPS รุ่นที่ใช้แบตเตอรี่ชนิด High-Rate จะช่วยให้สามารถสำรองไฟฟ้าได้นานกว่าปกติประมาณ 20% (ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ต่อใช้งาน)

  1. ชื่อเสียงของบริษัทผู้ผลิตและการบริการหลังการขาย
    ในปัจจุบันก่อนเลือกซื้อสินค้าอะไรสักอย่าง เชื่อว่าหลาย ๆ คนคงรีบมองหาคอมเมนต์ตามโซเชียลมีเดียกันก่อนเป็นหลักว่าผู้ที่ซื้อสินค้าชิ้นนั้นไปใช้ก่อนหน้านี้มีผลตอบรับเป็นอย่างไรบ้าง ทั้งเรื่องคุณภาพของสินค้า จนถึงบริการหลังการขาย ซึ่งคุณสามารถนำข้อมูลเหล่านั้นมาใช้เป็นส่วนหนึ่งในการประกอบการตัดสินใจซื้อได้เป็นอย่างดี
  2. มาตรฐานการผลิต

ควรเลือกซื้อ UPS ที่ผู้ผลิตได้มาตรฐานสากล และมีหน่วยงานให้การรับรอง เพื่อให้ได้สินค้าที่มีคุณภาพตามมาตรฐานสากลโลก ทั้งในแง่ของคุณภาพในการใช้งานจริง รวมถึงความปลอดภัยในการใช้งาน

  1. การรับประกันสินค้า

การรับประกันสินค้า ถือเป็นสิ่งหนึ่งที่สำคัญมาก ๆ เพราะหาก UPS เกิดมีปัญหาขึ้นมาก็จะสามารถเปลี่ยน หรือซ่อมได้ตามเงื่อนไขของการรับประกันสินค้า ซึ่งแต่ละยี่ห้อ จะมีระยะเวลารับประกันไม่เท่ากัน 1 ปี, 2 ปี หรือมากกว่านั้น

  1. มีศูนย์บริการระดับมาตรฐาน
    หากเป็นไปได้แนะนำให้เลือกซื้อ UPS ที่มีศูนย์บริการที่ได้มาตรฐาน เพื่อให้คุณสามารถเข้ารับบริการหลังการขายได้อย่างสะดวก พร้อมมีช่างผู้ชำนาญ และอุปกรณ์ รวมถึงอะไหล่ที่ครบครันในการใช้เพื่อดูแล UPS ของคุณหลังจากที่ซื้อไป

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน