หลังจากเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามามีบทบาทในชีวิตผู้คนมากขึ้นทุกขณะ ทำให้ภาคธุรกิจต้องปรับโมเดลธุรกิจก้าวสู่แพลตฟอร์มดิจิทัลเต็มรูปแบบ บริษัท เอสซีจี ดิสทริบิวชั่น จำกัด ในธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง SCG ที่เติบโตมาพร้อมกับเครือข่ายร้านค้าวัสดุก่อสร้าง ผ่านระบบผู้แทนจำหน่าย (ดีลเลอร์) และส่งต่อไปยังร้านค้ารายย่อยทั่วประเทศ ตอกย้ำศักยภาพความเป็นผู้นำด้วยการเลือกเติบโตไปพร้อม ๆ กับเครือข่ายร้านค้าที่กระจายอยู่ทั่วประเทศมากกว่า 10,000 ราย ผ่านโมเดล B2b2c (Business-to-Business-to-Customer) สร้างระบบการค้าขายสินค้าวัสดุก่อสร้างบนแพลตฟอร์มดิจิทัลครบวงจรมากกว่าที่เคยมี

หลังจากเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามามีบทบาทในชีวิตผู้คนมากขึ้นทุกขณะ ทำให้ภาคธุรกิจต้องปรับโมเดลธุรกิจก้าวสู่แพลตฟอร์มดิจิทัลเต็มรูปแบบ บริษัท เอสซีจี ดิสทริบิวชั่น จำกัด ในธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง SCG ที่เติบโตมาพร้อมกับเครือข่ายร้านค้าวัสดุก่อสร้าง ผ่านระบบผู้แทนจำหน่าย (ดีลเลอร์) และส่งต่อไปยังร้านค้ารายย่อยทั่วประเทศ ตอกย้ำศักยภาพความเป็นผู้นำด้วยการเลือกเติบโตไปพร้อม ๆ กับเครือข่ายร้านค้าที่กระจายอยู่ทั่วประเทศมากกว่า 10,000 ราย ผ่านโมเดล B2b2c (Business-to-Business-to-Customer) สร้างระบบการค้าขายสินค้าวัสดุก่อสร้างบนแพลตฟอร์มดิจิทัลครบวงจรมากกว่าที่เคยมี

วิรัช ตั้งจิตเพียรดี” Growth Platform Director บริษัท เอสซีจี ดิสทริบิวชั่น จำกัด กล่าวว่า โมเดลธุรกิจในแบบ Direct To Customer ที่กำลังได้รับความนิยม มีผลกระทบต่อเครือข่ายร้านค้าวัสดุก่อสร้างมากขึ้นเรื่อย ๆ บริษัทจึงเป็นที่มาของโมเดล B2b2c บนแพลตฟอร์มดิจิทัล ซึ่งเชื่อว่าจะสามารถรับมือกับการแข่งขันได้ โดยเป็นการพัฒนาจากการที่เชื่อว่า value ของร้านค้ารายย่อยยังมีอยู่ สิ่งที่เห็นได้ชัดคือพวกเขามีความเข้าใจลูกค้าได้ลึกซึ้งกว่า มีเครือข่ายของตนเองและอยู่ใกล้ชิดกับลูกค้าปลายทางที่เป็นกลุ่มช่างและผู้รับเหมาก่อสร้างมากกว่า เลยหาวิธีตอบโจทย์ว่าทำอย่างไรถึงจะแปลง value นั้น ให้เป็นบริการที่มีประสิทธิภาพเหนือกว่ารายใหญ่ เพื่อให้พวกเขาแข่งขันได้

“B2b2c ในความหมายของเราคือ ทุกฝ่ายจะได้ประโยชน์ทั้งหมด ตั้งแต่ผู้ผลิต เครือข่ายร้านค้า ไปจนถึงผู้ซื้อปลายทางที่จะได้รับการบริการที่ดี ในราคามาตรฐาน เราเลือกโมเดลนี้ เพราะ win win กันทุกฝ่าย และเชื่อว่าสามารถแข่งขันได้ระยะยาว จากอดีตคนกลางหรือร้านค้าจะถูกลดทอนความสำคัญลงไปเรื่อย ๆ แต่เรามองอีกมุมหนึ่งว่า value ที่เขามีจะสามารถต่อยอดและเติบโตไปได้ ซึ่งมีหลายประเทศที่เลือกโมเดลแบบนี้ อย่างในจีนประสบความสำเร็จมาก มองว่าตอนนี้เทรนด์กำลังจะเปลี่ยนไปอีกครั้ง ซึ่งวัสดุก่อสร้างเป็นสินค้าหนัก ช่างและผู้รับเหมาจะซื้อเท่าที่ต้องการใช้หรือพอใช้ต่อหนึ่งงานเท่านั้น จะไม่สั่งซื้อล็อตใหญ่ ๆ ดังนั้น เครือข่ายร้านค้าจะยังมีความสำคัญที่จะเป็นผู้กระจายสินค้าวัสดุก่อสร้างไปยังปลายทางตามปริมาณที่ต้องการ”

เอสซีจี ดิสทริบิวชั่น เป็นผู้ประกอบการรายแรกในธุรกิจวัสดุก่อสร้าง ที่นำโมเดล B2b2c พัฒนาบนแพลตฟอร์มดิจิทัลมาเชื่อมต่อห่วงโซ่ธุรกิจครบวงจรตั้งแต่ต้นทางไปจนถึงปลายทาง เพื่อช่วยส่งเสริมเครือข่ายร้านค้า ซึ่งต่างจากธุรกิจส่วนใหญ่ที่จะมีเพียง B2b หรือไม่ก็ B2c เท่านั้น โดยเริ่มจากพัฒนา “พร้อม พลัส” (Prompt Plus) แพลตฟอร์ม B2b e-commerce สำหรับร้านค้าวัสดุก่อสร้าง ในปลายปี 2561 ช่วยแก้ปัญหาให้กับร้านค้าวัสดุก่อสร้างในหลายเรื่อง เช่น ร้านค้าสามารถมองเห็นสินค้าวัสดุก่อสร้างที่ผู้ผลิตมีอยู่ทั้งหมด และมีสินค้าให้เลือกหลากหลายมากขึ้น สามารถใช้งานได้แบบเรียลไทม์สั่งซื้อสินค้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมทั้งมีการกำหนดราคามาตรฐานเป็นราคาที่ร้านค้าจะสามารถทำกำไรได้

ในระยะหลังยังพัฒนาต่อเนื่อง โดยเติม AI เข้าไปช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อให้สามารถแนะนำร้านค้าได้ว่า ร้านค้าในแต่ละพื้นที่นั้นควรนำเสนอสินค้าอะไร เมื่อไหร่ และราคาเท่าไหร่ หรือควรที่จะจัดโปรโมชั่นให้กับสินค้าอะไร ในช่วงเวลาใด เป็นต้น ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จมาก มีร้านค้าเครือข่ายเข้าร่วมแล้วมากกว่า 9,000 ร้านค้าทั่วประเทศ มียอดขายเติบโตขึ้นต่อเนื่อง จาก 600 ล้านบาทในปีแรก ในปีนี้คาดว่าน่าจะปิดยอดขายได้ใกล้เคียงที่ 16,000 ล้านบาท

ขณะเดียวกัน ได้พัฒนาอีกแพลตฟอร์มควบคู่กันไปคือ “ดีพร้อม” แพลตฟอร์มดิจิทัลในรูปแบบ b2c เป็นการต่อยอดจาก “พร้อม พลัส” ซึ่งการทำงานของทั้งสองแพลตฟอร์มนี้จะเชื่อมกันแบบไร้รอยต่อ โดยมี Line OA เป็นเหมือน gateway ที่จะเข้าไปสู่ระบบ ร้านค้าที่อยู่ในดีพร้อมจะสามารถนำเสนอสินค้าของตนเองบนแพลตฟอร์มได้แบบอัตโนมัติเมื่อสั่งซื้อสินค้าวัสดุก่อสร้างจาก พร้อม พลัส แล้ว เป็นการช่วยลดขั้นตอนความยุ่งยากที่ปกติร้านค้ารายย่อยจะต้องถ่ายรูปสินค้าของตัวเองแต่ละชนิดก่อนอัพโหลดเข้าไปในระบบออนไลน์ที่ทางร้านค้ามี

ทั้งนี้ ประโยชน์ที่ร้านค้าจะได้มากขึ้นคือ ดาต้า (Data) ข้อมูลการวิเคราะห์ตลาดเพื่อนำมาบริหารจัดการการสั่งซื้อและสต็อกสินค้าในจังหวะเวลาและปริมาณที่เหมาะสม ทั้งต่อยอดการบริการที่เหนือกว่าได้อย่างทันท่วงที รวมทั้งทำกลยุทธ์ CRM ได้เอง ใส่ความเป็นยอดนักขายด้วยการสื่อสารตรงไปยังกลุ่มลูกค้าทั่วไป หรือเลือกเฉพาะลูกค้าขาประจำ เช่น การออกแคมเปญ หรือแจ้งสินค้าใหม่ ขณะที่ช่างและผู้รับเหมาจะได้รับการบริการที่รวดเร็วยิ่งขึ้น และสามารถใช้แพลตฟอร์มนี้เป็นเครื่องมือเช็คสินค้าและราคา เพื่อทำใบเสนอราคาแก่ลูกค้าได้โดยไม่ต้องเสียเวลาเสริชหาข้อมูลจากหลาย ๆ เว็บไซต์ เพราะพร้อม พลัส จะเป็นแหล่งรวมของผู้ผลิตสินค้าวัสดุก่อสร้างไว้ในที่เดียว เมื่อต้องการสั่งซื้อสินค้าจะได้เจอกับร้านค้าประจำก่อนเป็นลำดับแรก กรณีออกรับงานนอกพื้นที่ก็สามารถค้นหาร้านค้าเครือข่ายที่อยู่ใกล้เคียงพื้นที่นั้นได้สะดวกยิ่งขึ้น แถมมีโปรแกรมสะสมแต้มเป็นแรงจูงใจในการซื้อสินค้าผ่านดีพร้อมเพิ่มขึ้นด้วย

แพลตฟอร์ม “ดีพร้อม” จะเปิดตัวได้ภายในปลายปีนี้ หรืออย่างช้าสุดต้นปีหน้า โดยการเชื่อมต่อภายใต้โมเดล B2b2c ในปีแรกนั้น ตั้งเป้าหมายเพิ่มเครือข่ายร้านค้าเข้าร่วม ดีพร้อม ประมาณ 2 พันร้านค้าทั่วประเทศ ซึ่งหนึ่งร้านค้าจะมีช่างและผู้รับเหมาในเครือข่ายอีกไม่ต่ำกว่ารายละ 20-50 ราย ส่วนพร้อม พลัส ตั้งเป้าเพิ่มเครือข่ายร้านค้าจากปัจจุบันมีจำนวน 9,000 ร้านค้าเป็น 12,000 ร้านค้า ในปีหน้าและเป้าหมายยอดขายแตะที่ 2 หมื่นล้านบาท นอกจากนี้ จะเริ่มขยายแพลตฟอร์ม พร้อม พลัส เข้าไปสู่ตลาดในภูมิภาคอาเซียนอีก 6 ประเทศ โดยในปีนี้ได้เข้าไปวางแพลตฟอร์มรูปแบบการค้าใหม่นี้แล้วใน 2 ประเทศ คือ เวียดนาม และ กัมพูชา ส่วนปีหน้าจะไปอีกใน 4 ประเทศคือ ลาว พม่า ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย

เวลานี้มีผู้ผลิตในประเทศหลายรายสนใจเข้ามาอยู่ในแพลตฟอร์มนี้ ทำให้โมเดลนี้สามารถจะเติบโตได้อีกมาก สำหรับเอสซีจี ดิสทริบิวชั่น มีหัวใจหลักคือ ลูกค้าเป็นศูนย์กลาง จึงเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่เราเลือกโมเดล B2b2c เพื่อสร้างการเติบโตไปพร้อมกับผู้แทนจำหน่าย เครือข่ายร้านค้า รวมไปถึงผู้ซื้อปลายทาง เป็นการเติบโตที่ไม่ได้ไปเพียงลำพัง แต่จะไปกันทั้ง ecosystem ในระบบเครือข่ายของเราที่มี ตอบโจทย์ตามความต้องการที่แท้จริง ช่วยให้พวกเขาเติบโตได้อย่างยั่งยืน” นายวิรัช กล่าวทิ้งท้าย


ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน