พลังประชา‘ร้าว’หัวเชื้อปรับครม. : คอลัมน์ ทิ้งหมัดเข้ามุม โดย…มันฯ มือเสือ
เรื่องวุ่นๆ ในพรรค พปชร.ที่สื่อขนานนามให้ใหม่ ‘พลังประชาร้าว’
เดินหน้าตามโรดแม็ปภายหลังพ.ร.ก. กู้เงินช่วยเหลือเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจจากพิษโควิด 3 ฉบับ
ผ่านความเห็นชอบของสภาผู้แทนฯ วันที่ 31 พ.ค.เป็นที่เรียบร้อย
รุ่งขึ้น 1 มิ.ย. ใน พปชร.ก็เคลื่อนไหวใหญ่ทันที
กรรมการบริหารพรรคเกินครึ่ง 18 คนจากทั้งหมด 34 คนยื่นลาออกจากตำแหน่ง
เป็นผลให้คณะกรรมการทั้งหมดต้องสิ้นสภาพ
รวมถึงหัวหน้าพรรคและเลขาธิการพรรคที่ถูกมองเป็นเป้าขย่มของจริงครั้งนี้
ภายใต้เกมการเมืองสลับซับซ้อนปรากฏชื่อ ‘บิ๊กป้อม’ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เตรียมผงาดขึ้นนั่ง หัวหน้าพรรคแทนนายอุตตม สาวนายน
พปชร.นั้นมีปัญหาภายในตั้งแต่เริ่มตั้งรัฐบาล ‘ประยุทธ์ 2’ ใหม่ๆ
การเป็นพรรคใหญ่และพรรคใหม่ ซึ่งมีแกนนำนักการเมืองหลายกลุ่มก๊วนไหลมารวมกัน
หลายคนไม่พอใจกับการตั้ง ครม.ครั้งนั้น ทำให้ในพรรคเกิดรอยปริแตกขึ้น
มีการจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐมนตรีโดยเฉพาะในช่วงโควิด
ทีมเศรษฐกิจ 4 กุมาร ประกอบด้วย นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ นายอุตตม สาวนายน นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ และนายสุวิทย์ เมษินทรีย์
ตกเป็นเป้าสหบาทาจากส.ส.หลากหลายกลุ่ม ทั้งกลุ่มป้อม กลุ่มสามมิตร กลุ่มกปปส. เป็นต้น
‘บิ๊กตู่’ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ประกาศลอยตัวเหนือความขัดแย้งภายใน พปชร.
กล่าวทำนองว่า การเปลี่ยนแปลงภายใน พปชร.เป็นเรื่องปกติของพรรคการเมือง
ที่ต้องแยกออกจากเรื่องปรับครม. ซึ่งเป็นอำนาจสิทธิ์ขาดของนายกรัฐมนตรีแต่เพียงผู้เดียว
เป็นการพูดทั้งที่รู้ว่าในทางปฏิบัติไม่ใช่แบบนั้น
การเปลี่ยนแปลงภายใน พปชร.ย่อมส่งผลก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภายใน ครม.ตามมาแน่นอน
แต่ละกลุ่มต่างคาดหวังให้แกนนำกลุ่มตัวเองมีชื่อเป็นรัฐมนตรีในกระทรวงที่ต้องการในการปรับ ครม.ครั้งนี้
และนั่นทำให้เก้าอี้รัฐมนตรีเศรษฐกิจของกลุ่ม 4 กุมารตกเป็นเป้าจับตา
จะหลุดเก้าอี้แบบยกแผงหรือแค่บางคน
ที่สำคัญก็คือแล้วใครจะมาแทน?