คอลัมน์ ทิ้งหมัดเข้ามุม : มิจฉาชีพหลังยุคโควิด
โดย…รุก กลางกระดาน
ใกล้กลับสู่สภาวะปกติแล้ว หลังรัฐบาลยอมผ่อนปรน ยกเลิกเคอร์ฟิวห้ามออกนอกเคหสถานในยามวิกาล
เหลือคงไว้แต่เพียงพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ซึ่งดูแล้วคงไม่สามารถยื้อไว้ได้นาน สิ้นเดือนมิ.ย.นี้ก็คงจะต้องเลิกราตามไป
เท่ากับว่าเรากำลังเข้าสู่ช่วงของการฟื้นฟู เยียวยาเศรษฐกิจอย่างจริงจัง
ซึ่งต้องยอมรับเลยว่าไม่ใช่เรื่องง่าย อาจจะยากกว่าการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 เสียอีก
เพราะระยะเวลาที่ผ่านมา ด้วยมาตรการควบคุมที่ออกโดยศบค. และรัฐบาล ล้วนเป็นแนวทางที่กดทับให้ธุรกิจบางประเภทย่ำแย่ พังพาบ จนถึงขั้นแน่นิ่ง
อย่างไรก็ตามก็ยังมีช่องทางธุรกิจบางประเภทที่ใช้วิกฤตดังกล่าวเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว
นั่นก็คือการขายของออนไลน์ ซึ่งเป็นธุรกิจที่ต่างคนต่างอยู่ สามารถซื้อขายแลกเปลี่ยนกัน ใช้บริการขนส่งพัสดุ ธนาคาร โดยเฉพาะการทำธุรกรรมผ่านออนไลน์เป็นตัวเชื่อมโยง
ย่อมสะท้อนให้เห็นภาวะของความ ‘ปกติใหม่’ หรือนิว นอร์มอล ได้เป็นอย่างดี
แต่แทนที่ธุรกิจดังกล่าวจะก้าวหน้าก็ยังมีเรื่องให้ต้องสะดุดเนื่องจากเป็นเรื่องที่ต้องใช้ความซื่อตรงและความไว้วางใจสูง
กลายเป็นช่องทางให้มิจฉาชีพเข้ามาหาประโยชน์ได้อีกทาง
ไม่ว่าจะเป็นการขายของไม่ตรงปก ขายของด้อยคุณภาพ ไม่แสดงราคาให้ชัดเจน รวมทั้งละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้า
แต่ที่แย่ไปกว่านั้นก็คือการตั้งใจที่จะโกง ด้วยการขายของที่ไม่มีอยู่จริง หลอกลวงเปิดบัญชี ตั้งราคาขายให้ไม่แพงมาก พอเหยื่อหลงเชื่อโอนมาก็หนีหาย
คิดว่าเป็นเงินเพียงเล็กน้อย ไม่คุ้มที่จะเป็นคดีความ เมื่อไม่มีการแจ้งความก็ย่ามใจทำเรื่อยมา
ไม่รู้เลยว่าการสืบสวนสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจยุคนี้ล้ำสมัยไปมากเพียงใด
เพียงแค่มีบัญชีธนาคาร แม้ไม่ใช่ของตัวเองก็สามารถสืบสวนเชื่อมโยง ไหนจะบัญชีในโซเชี่ยลมีเดีย เบอร์โทรศัพท์
สุดท้ายก็หนีไม่รอด เจอทั้งคดีฉ้อโกง แถมยังหมดอนาคตทำมาหากินอีก
จึงเป็นเรื่องที่จำเป็นต้องเตือนกันไว้ ว่าอย่าฉวยโอกาสหากินกับเรื่องพรรค์นี้
ได้ไม่คุ้มเสียอย่างแน่นอน