กกพ.
กกพ. เคาะ ลดค่าไฟเหลือ 4.45 บาท งวดที่ 3 เริ่มกันยายนนี้ เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2566 ที่ผ่านมา คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) มีมติเห็นชอบค่าเอฟทีเรียกเก็บจำนวน 66.89 สตางค์ต่อหน่วย (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าเฉลี่ยปรับลดลงจากงวดปัจจุบัน (พฤษภาคม-สิงหาคม 2566) จาก 4.70 บาทต่อหน่วย เหลืออยู่ที่ 4.45 บาทต่อหน่วย และให้มีผลตั้งแต่รอบบิลเดือนกันยายน 2566 จากการประชุมครั้งที่ 34/2566 (ครั้งที่ 862) เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคมที่ผ่านมา ได้มีมติรับทราบผลการรับฟังความคิดเห็นค่าเอฟที และได้พิจารณากรณีศึกษาการปรับค่าเอฟทีขายปลีก สำหรับเรียกเก็บในงวดเดือนกันยายน-ธันวาคม 2566 ทั้งนี้ การพิจารณาดังกล่าว กกพ. ยึดหลักเกณฑ์ตามประกาศ กกพ. เรื่อง กระบวนการ ขั้นตอนการใช้สูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ พ.ศ. 2565 และได้พิจารณาประโยชน์ของประเทศ รวมถึงสภาพการแข่งขันและความสามารถในการให้บริการของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และการรักษาเสถียรภาพความมั่นคงการให้บริการระยะยาวประกอบแล้ว
สุดอั้น! กกพ. มีมติ ขึ้นค่าไฟ หน่วยละ 4 บาท/ยูนิต ปตท. ขยายตรึงเอ็นจีวี 3 เดือน เมื่อวันที่ 18 มีนาคม เว็บไซต์ มติชนออนไลน์ รายงานข่าว นายคมกฤช ตันตระวาณิชย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ในฐานะโฆษก กกพ. เปิดเผยว่า ที่ประชุม กกพ. เมื่อวันที่ 16 มีนาคม มีมติปรับเพิ่มค่าไฟฟ้าผันแปร (ค่าเอฟที) สำหรับการเรียกเก็บค่าไฟฟ้าในรอบเดือนพฤษภาคม-สิงหาคม อัตรา 24.77 สตางค์ต่อหน่วย เป็นผลมาจากการคำนวณเอฟทีงวดนี้เพิ่มขึ้น 23.38 สตางค์ต่อหน่วย รวมกับการเก็บค่าเอฟทีรอบก่อนหน้า (กันยายน-ธันวาคม) อัตรา 1.39 สตางค์ต่อหน่วย และเมื่อรวมกับค่าไฟฐาน 3.76 บาทต่อหน่วย ทำให้ประชาชนต้องจ่ายจริง 4.00 บาทต่อหน่วย หรือเพิ่มขึ้น 5.82% สูงสุดเป็นประวัติการณ์ นายคมกฤช กล่าวว่า สาเหตุการปรับเพิ่มดังกล่าว มีปัจจัยหลักผลกระทบสงครามรัสเซียและยูเครน จนเกิดวิกฤตราคาพลังงานโลก ประกอบกับก๊าซธรรมชาติ (แอลเอ็นจี) ในอ่าวไทยลดลงในช่วงปลายสัมปทาน ขณะที่ความต้องการใช้ไฟฟ้ารอบใหม่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 5.21% และจากราคาพลังงานที่สูงจะทำให้ค่าไฟเพิ่มขึ้นไปถึงต้นปี 2566 ขณะที่ นายวุฒิกร สติฐิต รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ห
เริ่มปีหน้า! กกพ. ปรับขึ้น ค่าเอฟที 16.71 สตางค์ ส่งผลให้อัตราค่าไฟฟ้าเฉลี่ยอยู่ที่ 3.78 บาทต่อหน่วย เริ่มงวด ม.ค.-เม.ย. 2565 วันที่ 19 พฤศจิกายน 2564 เว็บไซต์ ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ รายงานว่า นายคมกฤช ตันตระวาณิชย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) ในฐานะโฆษกคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2564 กกพ. มีมติให้ปรับค่าไฟฟ้าผันแปร (ค่าเอฟที) สำหรับการเรียกเก็บค่าไฟฟ้าในรอบเดือนมกราคม–เมษายน 2565 โดยให้เรียกเก็บที่ 1.39 สตางค์ต่อหน่วย ส่งผลให้อัตราค่าไฟฟ้าเฉลี่ยอยู่ที่ 3.78 บาทต่อหน่วย หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.63 จากงวดปัจจุบัน คมกฤช ตันตระวาณิชย์ ทั้งนี้ เป็นผลจากอัตราแลกเปลี่ยนที่อ่อนค่าลง การนำเข้าพลังงานไฟฟ้าจากต่างประเทศในส่วนของพลังน้ำลดลงตามฤดูกาลและการผลิตไฟฟ้าจากถ่านลิกไนต์ลดลงตามแผนการปลดโรงไฟฟ้าแม่เมาะ ส่งผลให้สามารถเดินเครื่องโรงไฟฟ้าที่มีต้นทุนราคาถูกลดลง นอกจากนั้นราคาก๊าซธรรมชาติ ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้าปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นมากตามภาวะราคาน้ำมันขาขึ้นในตลาดโลก และปริมาณนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG)
กกพ. ไฟเขียว ปรับลดค่าไฟฟ้าผันแปร เดือน ก.ย.-ธ.ค. เหลือ 3.63 บาทต่อหน่วย อ้างอิงจาก ข่าวสด มีรายงานว่า นายคมกฤช ตันตระวาณิชย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ในฐานะโฆษก กกพ. เปิดเผยว่า กกพ.มีมติปรับลดอัตราค่าไฟฟ้าผันแปร (ค่าเอฟที) สำหรับเรียกเก็บงวดเดือนก.ย.-ธ.ค.2563 ลงอีก 0.83 สตางค์ต่อหน่วย หรือทำให้ค่าเอฟทีอยู่ที่ -12.43 สตางค์ต่อหน่วย จากเดิมอยู่ที่ -11.60 สตางค์ต่อหน่วย ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าที่เรียกเก็บในบิลค่าไฟของประชาชนในเดือนก.ย.-ธ.ค.2563 ปรับลดเฉลี่ยที่ 3.63 บาทต่อหน่วย จากปัจจุบัน 3.64 บาทต่อหน่วย ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม เนื่องจากราคาก๊าซธรรมชาติที่ลดลงก่อนหน้านี้ส่งผลต่องวดปัจจุบัน “แม้ภาวะราคาเชื้อเพลิงจะลดลงตามทิศทางราคาน้ำมันตลาดโลก ทำให้สามารถปรับลดค่าเอฟทีได้ แต่ กกพ.ยังคงต้องประเมินปริมาณการใช้ไฟฟ้าที่มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง เพราะผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ทำให้ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว รวมถึงความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนที่เกิดขึ้น ยังคงเป็นแรงกดดันให้ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้น จึงยังไม่สามารถคาดการณ์ทิศทางปริมาณการใช้ไฟฟ้าได้ชัดเจน อาจเป็นปัจจัยลบและเป็