กฎหมายใกล้ตัว
ประเด็นปัญหาที่ว่า ระหว่างที่ยังผ่อนรถ ในระยะสัญญาเช่าซื้อรถ อาจจะเป็น 48 งวด 60 งวด หรือกี่งวดก็ตาม หากรถที่เช่าซื้อมานั้นหายไป ถามว่า ผู้เช่าซื้อยังต้องผ่อนต่อหรือไม่ เรื่องนี้ ต้องพิจารณาจากประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๕๗๒ บัญญัติ ว่า อันว่า เช่าซื้อ นั้น คือ สัญญาซึ่งเจ้าของเอาทรัพย์สินออกให้เช่า และให้คำมั่นว่าจะขายทรัพย์สินนั้น หรือว่าจะให้ทรัพย์สินนั้นตกเป็นสิทธิแก่ผู้เช่า โดยเงื่อนไขที่ผู้เช่าได้ใช้เงินเป็นจำนวนเท่านั้นเท่านี้คราว” และมาตรา ๕๖๗ ที่ว่า ถ้าทรัพย์สินซึ่งให้เช่าสูญหายไปทั้งหมดไซร้ ท่านว่าสัญญาเช่าก็ย่อมระงับไปด้วย” ลักษณะของสัญญาเช่าซื้อ ก็คือสัญญาเช่าทรัพย์ประเภทหนึ่ง ดังนั้น เมื่อทรัพย์สินที่เช่าสูญหายไป สัญญาเช่าย่อมต้องระงับลง นั่นหมายความว่า เป็นอันเลิกสัญญาต่อกัน ผู้เช่าซื้อไม่ต้องผ่อนต่อ แต่สัญญเช่าซื้อโดยทั่วไป ผู้ให้เช่าซื้อมักกำหนดต่อไปอีกว่า …หากทรัพย์ที่เช่าสูญหายไป ผู้เช่าซื้อก็จำต้องผ่อนต่อจนครบสัญญา …… ซึ่ง ในส่วนต่อท้ายนี้ ศาลฎีกามองว่า เป็นการกำหนดค่าเสียหายกันไว้ล่วงหน้า ซึ่งก็เข้าลักษณะเบี้ยปรับตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 383 ดังนั้น
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งของการล้อมรั้วกระแสไฟฟ้า เพื่อป้องกันทรัพย์สิน ในบ้านเรือน โรงงาน โรงเก็บของ เรือกสวนไร่นา กระทั่งมีคนได้รับบาดเจ็บหรือกระทั่งเสียชีวิต ในกรณีดังกล่าว ในแง่ของกฎหมายแล้ว กรณีใดที่จะเข้าข่ายเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย หรือกรณีใดที่จะเป็นการเจตนาทำร้ายเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ต้องพิจารณา ข้อเท็จจริงเป็นกรณีๆไป โดยอาจแยกได้เป็น 3 กรณีคือ ๑.ผิดตามปอ. มาตรา ๒๙๐ เจตนาทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้นั้นถึงแก่ความตาย มาตรา ๒๙๐ ผู้ใดมิได้มีเจตนาฆ่า แต่ทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้นั้นถึงแก่ความตาย ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี ดังเช่น ในคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4884/2528 การที่ ส. ผู้ตายได้เข้าไปในบริเวณบ่อปลาของนายจ้างของจำเลยเพื่อจะเกี่ยวหญ้า ซึ่งจำเลยไม่มีสิทธิทำร้ายผู้ตายได้เมื่อจำเลยขึงลวดไว้ภายในรั้วลาดหนามที่ล้อมรอบบริเวณบ่อเลี้ยงปลาของนายจ้างและปล่อยกระแสไฟฟ้าเข้าไปตามลวดนั้นผู้ตายมาถูกสายไฟฟ้าของจำเลยเข้าถึงแก่ความตาย ถือไม่ได้ว่าการกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันสิทธิของผู้อื่นโดยชอบด้วยกฎหมาย จำเลยย่อมมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา
จากประเด็นที่มีการพูดถึงกันอย่างกว้างขวางในเวลานี้ในเรื่องการใช้กฎหมายอาญา “ฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน” นั้น ในเรื่องดังกล่าว อยู่ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 อนุ 4 ดังนี้ มาตรา ๒๘๙ ผู้ใด …. (๔) ฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และมีโทษบัญญัติไว้ใน วรรค 2 นั้นคือ ต้องระวางโทษประหารชีวิต จะเห็นได้ว่า เป็นโทษขั้นสูงสุด และเป็นโทษที่จะลงได้สถานเดียวซึ่งต่างจาก การฆ่าตามปกติ ในมาตรา 288 ที่ว่า มาตรา ๒๘๘ ผู้ใดฆ่าผู้อื่น ต้องระวางโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่สิบห้าปีถึงยี่สิบปี ตัวอย่าง คำพิพากษาของศาลฎีกา ในเรื่องการฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน เช่น คำพิพากษาฎีกา 3576/2533 “ขณะจำเลย ผู้ตาย และพวกนั่งดื่มสุราอยู่ด้วยกัน ผู้ตายพูดว่า จำเลยหัวล้านหรอยจัง แล้วใช้มือลูบศีรษะจำเลย จำเลยลุกจากวงสุราไป ต่อมาประมาณ 15 นาที จำเลยถือปืนแก๊ปยาวมายิงผู้ตายถึงแก่ความตาย กรณีมิใช่โทสะที่พุ่งขึ้นเฉพาะหน้าขณะที่ผู้ตายใช้มือลูบศีรษะจำเลย แล้วจำเลยใช้อาวุธปืนมายิงผู้ตายทันที แต่เป็นกรณีที่จำเลยเกิดโทสะแล้วออกจากวงสุราไป เกิดความคิดจะฆ่าผู้ตายในภายหลัง และเป็นพฤติการณ์ที่จำเลยจะต้องคิดไตร่ตรองตัดสินใจอย่างหนั
กรณีที่มี คนตะโกนขึ้นมาว่า “ตำรวจมา” เพื่อส่งสัญญาณให้กับนักพนันหนีการจับกุมของตำรวจนั้น เป็นความผิดลักษณะของการช่วยด้วยประการใดๆแก่ผู้กระทำความผิดเพื่อไม่ให้ถูกจับกุมดังบัญญัติไว้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 189 ดังคำพิพากษา 2448/2521 เจ้าพนักงานตำรวจได้เข้าทำการจับกุมพวกลักลอบเล่นการพนันไฮโลว์โดยไม่ได้รับอนุญาต อันเป็นการปฏิบัติการตามหน้าที่โดยชอบด้วยกฎหมาย จำเลย ร้องบอกพวกที่เล่นการพนันดังกล่าวว่า “ตำรวจมา ตำรวจมา” พวกที่เล่นการพนันบางคนหลบหนีการจับกุมของเจ้าพนักงานไปได้ พฤติการณ์ของจำเลยที่ร้องบอกพวกที่เล่นการพนันดังกล่าว ก็ด้วยมีเจตนาที่จะให้ผู้เล่นการพนันรู้ตัวเพื่อจะหลบหนีไป การกระทำของจำเลยจึงเข้าลักษณะของการช่วยด้วยประการใดๆ แก่ผู้กระทำความผิดเพื่อไม่ให้ถูกจับกุมดังบัญญัติไว้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 189 ทั้งนี้ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 189 บัญญัติว่า ผู้ใดช่วยผู้อื่นซึ่งเป็นผู้กระทำความผิด หรือเป็นผู้ต้องหาว่ากระทำความผิด อันมิใช่ความผิดลหุโทษ เพื่อไม่ให้ต้องโทษ โดยให้พำนักแก่ผู้นั้น โดยซ่อนเร้น หรือโดยช่วยผู้นั้นด้วยประการใดเพื่อไม่ให้ถูกจับกุม ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือป
การริบทรัพย์ในคดีอาญา จากประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๒ บัญญัติ ว่า ทรัพย์สินใดที่กฎหมายบัญญัติไว้ว่า ผู้ใดทำหรือมีไว้เป็นความผิด ให้ริบเสียทั้งสิ้น ไม่ว่าเป็นของผู้กระทำความผิด และมีผู้ถูกลงโทษตามคำพิพากษาหรือไม่ ขณะเดียวกัน ใน มาตรา ๓๓ บัญญัติว่า ในการริบทรัพย์สิน นอกจากศาลจะมีอำนาจริบตามกฎหมายที่บัญญัติไว้โดยเฉพาะแล้ว ให้ศาลมีอำนาจสั่งให้ริบทรัพย์สินดังต่อไปนี้อีกด้วย คือ (๑) ทรัพย์สินซึ่งบุคคลได้ใช้ หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิด หรือ (๒) ทรัพย์สินซึ่งบุคคลได้มาโดยได้กระทำความผิด เว้นแต่ ทรัพย์สินเหล่านี้เป็นทรัพย์สินของผู้อื่น ซึ่งมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิด ทั้งนี้ มีคำพิพากษาที่เกี่ยวข้องดังนี้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6736/2558 รถยนต์ของกลางที่จำเลยใช้ขับในขณะเมาสุรา และขับรถหลบหนีด้วยความเร็วสูงโดยไม่ได้คำนึงถึงความปลอดภัยหรือความเดือดร้อนของผู้อื่น ถือเป็นทรัพย์สินที่จำเลยใช้ในการกระทำความผิดตามฟ้องโดยตรงอันพึงริบตาม ป.อ. มาตรา 33 (1) คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2380/2539 โจทก์ฟ้องว่าจำเลยขับรถยนต์แข่งในทางโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานจราจรเจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยได้พร้อมยึด
เรื่องของการรอลงอาญา ในภาษาที่เรียกกันทั่วไป หรือ การรอการลงโทษ ในภาษากฎหมาย ปัจจุบันกำหนดไว้ดังนี้ “ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๖ วรรคแรก ผู้ใดกระทำความผิดซึ่งมีโทษจำคุก และในคดีนั้นศาลจะลงโทษจำคุกไม่เกินสามปี ถ้าไม่ปรากฏว่าผู้นั้นได้รับโทษจำคุกมาก่อน หรือปรากฏว่าได้รับโทษจำคุกมาก่อน แต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาท หรือความผิดลหุโทษ เมื่อศาลได้คำนึงถึงอายุ ประวัติ ความประพฤติ สติปัญญา การศึกษาอบรม สุขภาพ ภาวะแห่งจิต นิสัย อาชีพ และสิ่งแวดล้อมของผู้นั้น หรือ สภาพความผิด หรือเหตุอื่นอันควรปรานีแล้ว เห็นเป็นการสมควร ศาลจะพิพากษาว่าผู้นั้น มีความผิดแต่รอการกำหนดโทษไว้หรือกำหนดโทษแต่รอการลงโทษไว้แล้วปล่อยตัวไป เพื่อให้โอกาสผู้นั้นกลับตัวภายในระยะเวลาที่ศาลจะได้กำหนด แต่ต้องไม่เกินห้าปีนับแต่วันที่ศาลพิพากษาโดยจะกำหนดเงื่อนไขเพื่อคุมความประพฤติของผู้นั้นด้วยหรือไม่ก็ได้ ดัง คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ที่ ๗๖๖๓/๒๕๔๘ ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๐ วรรคหนึ่ง จำคุกสี่ปี คำให้การและคำเบิกความของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ
กรณีที่รถยนต์กับรถไฟชนกันที่บริเวณจุดตัดทางรถยนต์และทางรถไฟที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งนั้น การจะตัดสินว่าใครประมาท ใครเป็นฝ่ายผิดต้องพิจารณาเป็นกรณีๆ ไป ดังเช่น หากบริเวณจุดตัดนั้นมีเครื่องกั้นโดยพนักงานการรถไฟ แต่พนักงานประจำเครื่องกั้นหลับ หรือเมา ไม่ทำหน้าที่จนเกิดอุบัติเหตุขึ้น พนักงานขับรถเห็นรถติดคร่อมทางรถไฟอยู่ แต่ยังขับมาด้วยความเร็วสูง ลักษณะนี้อาจเป็นได้ว่า ฝ่ายรถไฟเป็นฝ่ายประมาท แต่หากข้อเท็จจริงเปลี่ยนไป เช่น แม้ไม่มีแผงกั้น แต่มีป้ายเตือนให้หยุดรถ แต่ฝ่ายรถยนต์ฝ่าฝืนป้ายหยุด แถมขับตัดหน้ารถไฟในระยะกระชั้นชิด กรณีนี้อาจกล่าวได้ว่าฝ่ายรถยนต์เป็นฝ่ายประมาท ดังคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 526/2534 “ใกล้บริเวณที่เกิดเหตุมีป้ายจราจรติดตั้งไว้ 2 ป้าย ป้ายแรกเขียนว่า ให้ “ระวังรถไฟ” และอีกป้ายหนึ่งเขียนว่า “หยุด” แต่จำเลย (ขับรถยนต์) ไม่ได้หยุดรถ และเมื่อเห็นรถไฟแล่นมาขณะอยู่ห่างประมาณ 30 เมตร จำเลยเร่งเครื่องยนต์เพื่อขับข้ามทางรถไฟให้พ้น แต่ไม่ทัน จึงเป็นเหตุให้รถยนต์ที่จำเลยขับชนกับรถไฟ ดังนี้ จำเลยละเลยไม่ปฏิบัติตามกฎจราจร กลับฝ่าฝืนและเสี่ยงภัยอย่างชัดแจ้ง ตามพฤติการณ์แสดงว่าจำเลยขับรถด้วยคว