ข้าวเม่า
ข้าวเม่า จัดเป็นอาหารว่างอย่างหนึ่งที่มีกลิ่นหอม รสอร่อย เป็นที่นิยมรับประทานในหมู่คนทางภาคอีสานอย่างกว้างขวาง และในปัจจุบันนี้พบว่า ประชาชนในภาคอื่นๆ ก็นิยมรับประทานข้าวเม่าด้วยเช่นกัน บางท้องที่นำข้าวเม่ามาแปรรูปเป็นขนมหวานในรูปแบบต่างๆ กัน ที่สำคัญเมื่อรับประทานแล้ว จะทำให้รู้สึกอิ่มท้องได้นานเหมือนกับการรับประทานข้าว ทั้งนี้ เป็นเพราะว่าข้าวเม่านั้นทำมาจากข้าวดีๆนั่นเอง จะเรียกว่าเป็นอาหารว่างหรือขนมก็ไม่ผิด ลูกสาว 2 คน ของคุณเกตธิดา ช่วยทำข้าวเม่าในวันหยุด และหลังจากเลิกเรียนในวันธรรมดา การทำข้าวเม่า เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นของชาวชนบท ที่มีมานานตั้งแต่สมัยโบราณกาล ในอดีตพบว่า ชาวนาจะทำข้าวเม่าเพื่อใช้รับประทานเป็นอาหารว่างและใช้เป็นของฝากญาติพี่น้อง แต่คนเก่าแก่บอกว่า นอกจากทำเพื่อรับประทานแล้ว ยังทำเพื่อนำไปเซ่นไหว้ผีเจ้าปู่ที่รักษาไร่นา หรือที่เรียกตามภาษาท้องถิ่นอีสานว่า ผีตาแฮกนั่นเอง เหตุที่ต้องเซ่นไหว้ก็เพราะว่าต้องการให้ ผีตาแฮก ดลบันดาลให้นาข้าวได้ผลผลิตสูงในปีนั้นๆ แต่ในปัจจุบันนอกจากจะทำข้าวเม่าตามวัตถุประสงค์ดังกล่าวแล้ว ชาวบ้านยังทำเพื่อจำหน่ายเป็นรายได้เสริมยามเว้นว่างจา
ข้าวเม่า มีลักษณะเฉพาะตัวที่มีความหอม มีสีเขียวธรรมชาติของเมล็ดข้าว คุณค่าทางอาหารคล้ายกับข้าวกล้อง เป็นข้าวที่ยังไม่สีเอารำออก จึงมีสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายอยู่ครบถ้วน เป็นอาหารพื้นบ้าน ชนิดที่สามารถนำมาผสมนมสด รับประทานเช่นเดียวกับอาหารเช้าที่นำเข้าจากต่างประเทศ มีกลิ่นหอมรสชาติอร่อย และคุณค่าทางโภชนาการสูง โดยเฉพาะวิตามินบี ธาตุเหล็ก และฟอสฟอรัส ส่งผลดีต่อสุขภาพทำให้สุขภาพจิตดี มีความตื่นตัว มีสมาธิสูง ช่วยปรับระดับกลูโคสและสารอาหารรองในสมอง ช่วยให้ระบบการทำงานของสมองดี ก่อนที่ขนมโบราณชิ้นนี้จะถูกลืม ยังมีคนกลุ่มหนึ่งที่คงสืบทอดภูมิปัญญานี้ไว้เรื่อยมา หนึ่งในนั้นคือ “กลุ่มแม่บ้านเกษตรกรบ้านห้วยไม้ซอด” อำเภอปากคาด จังหวัดบึงกาฬ ที่ยังคงผลิตข้าวเม่าอย่างต่อเนื่องหลายทศวรรษ ซึ่งนับเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่การแปรรูปจากข้าวเมนูนี้ยังคงอยู่ บ้านห้วยไม้ซอด เป็นหมู่บ้านเล็กๆ กลางท้องทุ่งในอำเภอปากคาด จังหวัดบึงกาฬ ที่ขึ้นชื่อในการผลิต”ข้าวเม่า”มานาน เรียกได้ว่าเป็นชุมชนผลิตข้าวเม่ารายใหญ่แห่งดินแดนอีสาน กลุ่มแม่บ้านเกษตรกรบ้านห้วยไม้ซอด ตั้งอยู่เลขที่ 57 หมู่ที่ 9 ตำบลปากคาด อำเภอ
“ข้าวเม่า” เป็นขนมหวานประเภทหนึ่งของคนไทย ที่ทำกินตามช่วงฤดูกาล อันเกิดจากภูมิปัญญาดั้งเดิมของเกษตรกรชาวนาตั้งแต่รุ่นโบราณที่นำข้าวเหนียวที่มีรวงแก่ใกล้จะสุกเก็บเกี่ยวได้ ที่เรียกว่า ข้าวระยะพลับพลึง มาแช่น้ำ คั่ว ตำ แล้วนำมาคลุกมะพร้าว น้ำตาล โรยเกลือ ใช้ทานเป็นขนมหวาน ความจริงแล้วข้าวที่นำมาทำข้าวเม่ามีทั้งข้าวเหนียว ข้าวเจ้า และข้าวเหนียวดำ แล้วที่นิยมมากที่สุดคือข้าวเม่า ข้าวเหนียว ซึ่งยังแบ่งได้เป็น 3 แบบคือ ข้าวฮาง หรือข้าวเม่าอ่อนทำจากเมล็ดข้าวสีเขียวจัด, ข้าวเม่าแบบเขียวอ่อน ทำจากข้าวห่ามที่เปลือกเป็นสีเขียวเข้ม และข้าวเม่าขาวนวล ทำจากข้าวเกือบแก่ เปลือกเขียวอมน้ำตาล การแปรรูปจากข้าวเพื่อเป็นขนมข้าวเม่านั้น คนโบราณดัดแปลงได้หลายวิธี อาจจะทำเป็นข้าวเม่าคลุก ข้าวเม่าบด ข้าวเม่าหมี่ ข้าวเม่าทอด ฯลฯ ทั้งนี้อาจขึ้นอยู่กับความต่างกันในวิถีชีวิต ขนบธรรมเนียม หรือส่วนผสมการปรุงของแต่ละภูมิภาคท้องถิ่นไป ที่จังหวัดสุรินทร์ คนที่นั่นส่วนใหญ่ปลูกข้าวหอมมะลิไว้กินและขายเป็นหลัก ส่วนข้าวเหนียวก็นิยมปลูกเอาไว้กินและทำขนม อย่างข้าวเม่าด้วย ซึ่งเดิมมักทำกินในครัวเรือน ต่อมามีการพัฒนามาเป็นอาชี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงเดือนกันยายน ยาวไปถึงออกพรรษา เทศกาลปีใหม่ สงกรานต์ ของทุกปี ถือเป็นโอกาสทองของชาวบ้านในพื้นที่ บ้านโปร่ง ต.ฝั่งแดง และบ้านแก่งโพธิ์ ต.น้ำก่ำ อ.ธาตุพนม จ.นครพนม รวมกว่า 300 ครัวเรือน ซึ่งถือเป็นพื้นที่ชุมชนต้นตำรับของการทำอาชีพภูมิปัญญาชาวบ้าน คืออาชีพทำข้าวเม่า ส่งออกขายในช่วงเทศกาลงานบุญประเพณีของชาวอีสาน สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ มีเงินหมุนเวียนสะพัดในพื้นที่ปีละเกือบ 10 ล้านบาท เนื่องจากในพื้นที่ 2 ตำบล มีความโชคดีที่มีภูมิประเทศติดกับลำน้ำก่ำ ลำน้ำสาขาสายหลักของแม่น้ำโขง อีกทั้งยังได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากในหลวง ในการก่อสร้างโครงการพัฒนาพื้นที่ลุ่มน้ำก่ำ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ อ.ธาตุพนม จ.นครพนม ทำให้เกษตรกรในพื้นที่มีระบบชลประทานเก็บกักน้ำเพียงพอในการทำการเกษตรตลอดทั้งปี เป็นที่มาของชาวบ้าน นำเอาอาชีพภูมิปัญญาชาวบ้าน ทำการปลูกข้าว ทำข้าวเม่าแทนการทำนาปี เนื่องจากสามารถเพิ่มมูลค่าราคาข้าวได้อีก 3-4 เท่าตัว ไม่ต้องกังวลเรื่องราคาข้าวตกต่ำ รวมถึงยังสามารถทำนา เก็บเกี่ยวผลผลิตข้าวไปทำข้าวเม่าได้มากถึงปีละ 3 ครั้ง โดยใช้ระยะเวลาสั้นแค่ 3-4 เดือน สามารถเก็บเ