พาราควอต
เปิดผลสำรวจ เกษตรกร ร้อยละ 25 มีแผนเลิกอาชีพ หากไร้สารทดแทน พาราควอต สมาคมวิทยาการวัชพืชแห่งประเทศไทย จัดการประชุมใหญ่สามัญประจำปี พ.ศ. 2563 ฉลองครบรอบ 43 ปี จัดเสวนา “ก้าวต่อไปอย่างไร เมื่อเกษตรไทยไร้พาราควอต” พร้อมเปิดผลสำรวจเกษตรกรทั่วไทย ตะลึงร้อยละ 25 คาดเลิกอาชีพเกษตรหากไร้สารทดแทนพาราควอต มุมมองด้านกฎหมาย รัฐบาล กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ อาจกระทำผิดกฎหมายสูงสุดตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 73 กลุ่มเกษตรกรเตรียมปรึกษาฝ่ายกฎหมายต่อไป ดร.จรรยา มณีโชติ นายกสมาคมวิทยาการวัชพืชแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า รอบปีที่ผ่านมา ประเด็นสารกำจัดวัชพืช พาราควอต ส่งผลกระทบต่อภาคการเกษตรมากที่สุด เนื่องจากเป็นประเด็นถกเถียงถึงความอันตรายของสารดังกล่าว ว่าเป็นจริงหรือไม่ จึงได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงในหลายด้านและสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้เกิดขึ้นในสาธารณชนในหลายด้าน ได้แก่ การตกค้างของพาราควอต กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้ชี้แจงแล้วว่า ไม่พบการตกค้างในพืช ผัก ผลไม้ ประเด็นโรคเนื้อเน่า ได้ตรวจสอบไม่พบพาราควอต แต่พบแบคทีเรียเป็นเหตุของโรคดังกล่าว ประเด็นการพบพาราควอตในขี้เทาทารก ยังไม่ได้รับคำตอบที่ชัดเจนใ
กระทรวงสาธารณสุข ย้ำจุดยืน แบนการใช้ 3 สารเคมีทางการเกษตร ได้แก่ พาราควอต คลอร์ไพริฟอส และไกลโฟเซต เพื่อปกป้องเกษตรกร ประชาชน เผยปี 2563 พบผู้ป่วยโรคพิษสารกำจัดศัตรูพืช จำนวน 4,933 คน เสียชีวิต 1 ราย เมื่อวันที่ 31 ส.ค. นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข อธิบดี เลขาธิการ อย. และรองอธิบดีทุกกรม ร่วมแถลงข่าว “สธ. ย้ำจุดยืน แบน 3 สารเคมีอันตราย” โดยนายอนุทิน กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข ซึ่งมีหน้าที่ในการดูแลสุขภาพของประชาชน ขอแสดงจุดยืนในการแบนสารพิษทั้ง 3 ชนิด ตามมติของคณะกรรมการวัตถุอันตราย เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2562 ที่ให้หยุดการใช้สารเคมีทางการเกษตรทั้ง 3 ชนิด ได้แก่ พาราควอต คลอร์ไพริฟอส และไกลโฟเซต เพื่อปกป้อง คุ้มครองเกษตรกร และประชาชน ไม่ให้เจ็บป่วย หรือเสียชีวิตจากสารเคมีอันตรายดังกล่าว ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขมีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับอันตรายที่เกิดขึ้นจากการใช้สารเคมีทั้ง 3 ชนิด จากข้อมูลการให้บริการในหน่วยบริการสาธารณสุข ฐานข้อมูล 43 แฟ้ม พบว่า มีผู้ป่วยจากโรคพิษสารกำจัดศัตรูพืช จำนวน 41,94
19 ภาคีเกษตร สนับสนุนให้ยุตินำเข้าวัตถุดิบทางการเกษตร ที่มีสารพาราควอต นายสุกรรณ์ สังข์วรรณะ เลขาธิการสมาพันธ์เกษตรปลอดภัย และผู้แทน 19 ภาคีเกษตร เปิดเผยว่า เกษตรกรกลุ่มพืชเศรษฐกิจ พร้อมสนับสนุนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน ในการยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการวัตถุอันตรายในการยกเลิกแบนพาราควอตและคลอร์ไพริฟอส ตอนนี้การจับกุมและปรับเงินเกษตรกรมีผลบังคับใช้แล้ว จึงขอให้รัฐมนตรียึดถือประโยชน์ของเกษตรกรและประเทศชาติเป็นสำคัญ ความเสียหายของเกษตรกรเกิดขึ้นแล้ว ไม่ว่าจะเป็นสารทางเลือกที่ราคาสูง ฆ่าหญ้าไม่ตายแต่พืชประธานตายทั้งอ้อยและมันสำปะหลัง ผลผลิตเสียหาย ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ นายมนัส พุทธรัตน์ ประธานสมาพันธ์ชาวสวนปาล์มน้ำมันแห่งประเทศไทย กล่าวเสริมว่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ มนัญญา ไทยเศรษฐ์ พูดว่าจะเอาสารพิษกลับมาอีกทำไม ขอถามท่านว่า สารเคมีตัวไหนไม่เป็นสารพิษ สารชีวภัณฑ์มีการบุกตรวจจับกุมโดย ดีเอสไอ และกรมวิชาการเกษตร ก็พบว่ามีสารพาราควอต และไกลโฟเซตปนอยู่ สารกลูโฟซิเนตในสหภาพยุโรปก็แบนไปแล้ว สิ่งที่กรมวิชาการเกษตรแนะนำให้ใช้ล้วนแต่เป็นสารพิษ เพราะฉะนั้น ท่านต้อ
รมว.เกษตรฯ รับเรื่องยกเลิกพาราควอต ขอทบทวนมติ – พร้อมสนับสนุนใหม่ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รับเรื่องและจะจัดทำหนังสือยกเลิกการแบนพาราควอตถึงคณะกรรมการวัตถุอันตราย (คกก.วอ.) จากเกษตรกรกลุ่มพืชเศรษฐกิจเกือบร้อยราย โดยเร็วที่สุด นายสุกรรณ์ สังข์วรรณะ เลขาธิการสมาพันธ์เกษตรปลอดภัย และนายกสมาคมเกษตรปลอดภัย กล่าวถึงผลกระทบหลังจากการแบนพาราควอตว่า ปัจจุบัน ส่งผลให้เกษตรกรต้นทุนสูงขึ้น หนี้สินเกษตรกรเพิ่มขึ้นจากคำแนะนำของกรมวิชาการเกษตร บางส่วนเลิกทำเกษตร โรงงานอุตสาหกรรมเกษตรประสบปัญหา อาจเกิดการเลิกจ้างงาน สินค้าผิดกฎหมายลักลอบผสมสารเคมีอ้างเป็นสารชีวภัณฑ์เพิ่มขึ้น เพราะขาดการตรวจสอบ ควบคุมสารชีวภัณฑ์ รวมทั้ง เกษตรกรได้นำแนวทางที่กรมวิชาการเกษตรแนะนำแล้ว ได้แก่ สารทางเลือก ไกลโฟเซต และกลูโฟซิเนต พบว่า วัชพืชไม่ตาย ยับยั้งการเจริญเติบโตของพืชปลูก ผลผลิตเสียหาย รวมทั้งนักวิชาการแสดงความเห็นต่อสารทางเลือกต่างๆ พบว่า ไม่สามารถทดแทนพาราควอตได้ทั้งในแง่ของประเสิทธิภาพและราคา นอกจากนี้ สมาคมนักวิชาการอ้อยและน้ำตาลแห่งประเทศไทย (สอนท.) ได้สำรวจและวิเคราะห์สารต
11 สมาคมเกษตร บุกทำเนียบร้องทุกข์ ยื่นหนังสือถึงนายกฯ หวังเร่งแก้ปัญหาความเดือดร้อนของเกษตรกร และขอให้ทบทวนการยกเลิกสารพาราควอต แกนนำเกษตรกรจาก 11 สมาคมด้านการเกษตร ยื่นหนังสือร้องทุกข์ถึง นายกรัฐมนตรี ประยุทธ์ จันทร์โอชา อีกครั้ง หลังจากพยายามยื่นมาแล้วหลายครั้ง เพื่อขอให้เร่งแก้ปัญหาความเดือดร้อนของเกษตรกร และขอให้ทบทวนการยกเลิกสารพาราควอต หลังจากกรมวิชาการเกษตร ไร้แนวทางจัดการและไม่มีสารทดแทน นายสุกรรณ์ สังข์วรรณะ เลขาธิการสมาพันธ์เกษตรปลอดภัย และนายกสมาคมเกษตรปลอดภัย เปิดเผยว่า “กลุ่มเกษตรกรได้เดินทางและทำหนังสือมาร้องเรียนต่อนายกรัฐมนตรี ประยุทธ์ จันทร์โอชา หลายครั้งแล้ว แต่ยังไม่ได้รับแนวทางการจัดการปัญหาที่ชัดเจน เพราะนับตั้งแต่ 1 มิถุนายนที่ผ่านมา มีคำสั่งกรมวิชาการเกษตร ไม่ให้ใช้หรือครอบครองสารพาราควอต หากฝ่าฝืนมีโทษจำคุกสูงสุด 10 ปี และปรับเงินสูงสุด 1 ล้านบาท เกษตรกรผู้ปลูกพืชเศรษฐกิจหลัก ได้แก่ อ้อย ปาล์มน้ำมัน มันสำปะหลัง ยางพารา ข้าวโพดหวานและข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และผลไม้ ประสบปัญหาและเสียหายอย่างหนัก เนื่องจากภาครัฐยังไม่มีมาตรการรองรับที่ชัดเจน ไร้มาตรการเยียวยาบรรเทาความ
กลุ่มปาล์มน้ำมัน จับตา การปรับค่าสารตกค้าง MRL กระทบสุขภาพประชาชน ย้อนแย้งกับการแบนพาราควอต เหตุกระทรวงสาธารณสุข ชี้ประเด็นเรื่องสุขภาพและความปลอดภัย มติคณะกรรมการวัตถุอันตราย ประกาศแบนพาราควอตตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน นี้เป็นต้นไป แต่เตรียมแก้กฎหมายเอื้อประโยชน์ เกษตรกรกลุ่มปาล์มน้ำมัน ฉุน พร้อมจับตา การปรับค่าสารตกค้าง MRL เพิ่มค่าสารพิษตกค้างนำเข้าไทย ขัดแย้งกับการแบนพาราควอต นายมนัส พุทธรัตน์ ประธานสมาพันธ์ชาวสวนปาล์มน้ำมันแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า “การตรวจสอบปริมาณสารตกค้างในพืชผักของประเทศไทยหลายครั้ง ไม่พบการปนเปื้อนของสารพาราควอตเกินมาตรฐาน ส่วนใหญ่พบสารตกค้างในกลุ่มยาฆ่าแมลง แต่กลับถูกเหมารวมว่าเป็น สารพาราควอต แล้วนำมาเป็นข้ออ้างในการแบน เพราะห่วงสุขภาพ แต่หลังจากได้มีมติแบนพาราควอต พบว่าสร้างปัญหาให้ผู้นำเข้าวัตถุดิบถั่วเหลือง กากถั่วเหลือง ข้าวสาลี เช่นเดียวกับสารไกลโฟเซต ที่สั่งให้เลิกแบนมาเป็นจำกัดการใช้ ทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมวางแผนและอาจมีการปรับค่าสารพิษตกค้างสูงสุด (MRL) เพื่อให้สามารถนำเข้าผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรจากต่างประเทศที่มีสารพิษตกค้างเกินกำหนดมาตรฐานเดิมม
นักวิชาการไทย เผยโลกเข้าสู่วิกฤตอาหาร ย้ำไทยคือผู้ผลิตอาหารรายใหญ่ เพื่อสร้างอาหารมั่นคง สมาคมนักวิชาการอ้อยและน้ำตาลแห่งประเทศไทย ชี้ข้อมูลวิกฤตอาหารขาดแคลนทั่วโลกและไทย ร้องรัฐบาลควรสนับสนุนเกษตรกร สนับสนุนผู้ผลิตอาหาร หยุดซ้ำเติมจากปัญหาภัยแล้ง โควิด-19 และการออก กฎระเบียบที่ไม่เอื้ออำนวยต่อภาคเกษตรกรรมและสร้างความมั่นคงด้านอาหารอย่างยั่งยืน รายงาน The State of Food Security and Nutrition in the World ฉบับล่าสุดปี 2019 ของ องค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (Food and Agriculture Organization of the United Nations : FAO) กับสถาบันระหว่างประเทศอีกหลายแห่ง พบว่า ประชากรโลกกว่า 820 ล้านรายอยู่ในภาวะหิวโหย ขาดสารอาหาร เป็นผลจากความขัดแย้งไร้เสถียรภาพ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มีผลกระทบต่อการเพาะปลูก กระทบต่อการกระจายอาหาร ภาวะโภชนาการของผู้คนจำนวนมาก สำหรับประเทศไทย มีจำนวนมากถึง 6.5 ล้านราย คิดเป็นร้อยละ 9.7 ของประชากรไทย โดยขาดแคลนอาหารมากถึง 5.4 ล้านราย และขาดสารอาหารอีก 1.1 ล้านราย จากจำนวนประชากรทั้งสิ้น 66.5 ล้านราย ดร.กิตติ ชุณหวงศ์ นายกสมาคมนักวิชาการอ้อยและน้ำตาลแห่งประ
ชมรมสถาบันชาวไร่อ้อยภาคอีสาน สมาคมชาวไร่อ้อยลำมูลบน นครราชสีมา และเกษตรกรชาวไร่อ้อยพิจิตร รวมตัวให้ข้อมูลผลกระทบและประสบการณ์ตรงการใช้สารเคมีเกษตร หวังรัฐทบทวนและหามาตรการรองรับที่ชัดเจน พร้อมเดินหน้ายื่นหนังสือ ชะลอมติยกเลิกใช้พาราควอต ไกลโฟเซต คลอร์ไพรีฟอส นายเลียบ บุญเชื่อง ชมรมสถาบันชาวไร่อ้อยภาคอีสาน เปิดเผยว่า การแบน 3 สารเคมีเกษตรส่งผลกระทบรุนแรงในอุตสาหกรรมอ้อยทั้งระบบ ต่อเนื่องไปถึงอุตสาหกรรมต่อเนื่อง ทั้งน้ำตาล เอทานอล และโรงไฟฟ้าชีวมวล โดยเฉพาะ พาราควอต ช่วยให้เกษตรกรทุกคน ไม่ว่าจะเป็น ไร่มันสำปะหลัง ไร่อ้อย ไร่ข้าวโพด ลดต้นทุนการผลิต เพราะราคาพืชไร่หลายชนิดมีราคาตกต่ำ การลดต้นทุนจะช่วยให้เกษตรกรมีผลกำไรบ้าง หากต้องมาเพิ่มต้นทุน เท่ากับเป็นการเพิ่มภาระ ทำให้กำไรที่น้อยอยู่แล้วยิ่งลดลง อาจถึงขั้นขาดทุนได้ ส่วนการใช้แรงงานคนมา ถอนหญ้า หรือ ดายหญ้า นั้น ด้วยประสบการณ์ 1 คนในเวลา 1 วัน สามารถดายหญ้าได้ไม่ถึงครึ่งงานเลย ยิ่งในช่วงหน้าฝน ฝนตกชุก หญ้าขึ้นหนาแน่น ยิ่งทำงานยาก ดังนั้น การปลูกพืชเป็นหลายร้อยไร่ ระดับอุตสาหกรรม การใช้แรงงานคน จึงไม่มีทางเป็นไปได้ นอกจากนี้ นโย
สมาพันธ์เกษตรฯ ย้ำเกษตรกรเดือดร้อนหนัก ห้ามแบนพาราควอต ไร้สารทดแทน หยุดนำเข้าผักผลไม้พิษจากต่างประเทศ สมาพันธ์เกษตรปลอดภัย สมาคมเกษตรปลอดภัย สมาคมตัวแทนเกษตรกร และเครือข่ายพันธมิตร กลุ่มพืชเศรษฐกิจ ยื่นหนังสือขอเข้าพบ นายกรัฐมนตรี ประยุทธ์ จันทร์โอชา ชี้แจงเกษตรกรเดือดร้อนหนัก ห้ามแบนพาราควอต เนื่องจากไร้สารทดแทนที่มีประสิทธิภาพและต้นทุนเท่าเทียมกัน พร้อมขอเหตุผลการแบน 3 สารของคณะกรรมการวัตถุอันตราย ร้องเรียนรัฐห่วงสุขภาพประชาชนจริง หยุดนำเข้าผักผลไม้พิษจากประเทศที่ยังใช้สารเคมีเกษตรทั้ง 3 ชนิดอยู่ นายสุกรรณ์ สังข์วรรณะ เลขาธิการสมาพันธ์เกษตรปลอดภัย เปิดเผยว่า เกษตรกรผู้ปลูกพืชเศรษฐกิจหลัก ได้แก่ อ้อย ปาล์มน้ำมัน ยางพารา มันสำปะหลัง ข้าวโพดหวาน ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และไม้ผล ได้สนับสนุนมาตรการจำกัดการใช้สาร พาราควอต ไกลโฟเซต และคลอร์ไพริฟอส มาอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งมีมติการแบนสารดังกล่าวขึ้นในวันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2562 เกิดความสับสน เนื่องจากการตัดสินขัดแย้งกับมติเดิมของคณะกรรมการวัตถุอันตรายเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2561 และวันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562 ที่อนุญาตให้ใช้ 3 สารดังกล่าวได้ภาย
กรมควบคุมโรค หนุนยกเลิกใช้สารเคมีทางการเกษตร อันตรายสูง 3 ชนิด ภายในปี 2563 เมื่อวันที่ 12 ต.ค. 2562 นายแพทย์ขจรศักดิ์ แก้วจรัส รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวถึงกรณีที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมผู้บริหารทุกกรม และหน่วยงานในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขทั่วประเทศ รวมพลังประกาศจุดยืนไม่เอาสารเคมีอันตรายทางการเกษตร นั้น กรมควบคุมโรค และหน่วยงานในสังกัด ทั้งหน่วยงานในส่วนกลางและส่วนภูมิภาครวม 42 หน่วยงาน ตลอดจนสำนักงานป้องกันควบคุมโรค 12 แห่งทั่วประเทศ และสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง สนับสนุนให้ยกเลิกการใช้สารเคมีทางการเกษตรที่มีอันตรายสูง 3 ชนิด (พาราควอต คลอร์ไพริฟอส และไกลโฟเซต) ภายในปี 2563 ซึ่งมีผลต่อสุขภาพ เพื่อลดผลกระทบที่มีต่อสุขภาพของเกษตรกร และประชาชนในประเทศ พร้อมสั่งการให้กองโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม ดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการพัฒนามาตรการทางกฎหมาย ตามพระราชบัญญัติควบคุมโรคจากการประกอบอาชีพและโรคจากสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2562 เพื่อยกระดับการเฝ้าระวังภัยสุขภาพจากการสัมผัสสารเคมีทางการเกษตรกรรม การใช้สารเคมีในทางเกษตรกรรม