เว็บไซต์นี้ใช้คุ้กกี้เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีมีประสิทธิภาพยิ่งขี้น อ่านเพิ่มเติมคลิก (Privacy Policy) และ (Cookies Policy)
Featured ข่าววันนี้

คริปโต ดาบแสนคม สิ่งอันตรายที่สุด คือ คนจำนวนมากเข้ามาเล่น ทั้งที่ไม่ชำนาญ

คริปโต ดาบแสนคม สิ่งอันตรายที่สุด คือ คนจำนวนมากเข้ามาเล่น ทั้งที่ไม่ชำนาญ

คริปโตเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) เป็นสกุลเงินดิจิทัลที่ใช้เทคโนโลยี “บล็อกเชน” ในการ “บันทึก” ข้อมูลธุรกรรม (Transaction Data) ทั้งหมดที่เกิดขึ้น โดยเทคโนโลยีบล็อกเชน เป็นเทคโนโลยีที่ปฏิวัติการบันทึกข้อมูลแบบเดิมๆ จากการอาศัย “คนกลางที่มีความน่าเชื่อถือ” ในการบันทึกข้อมูลแต่ละชุดข้อมูลอย่างเป็นอิสระต่อกัน สู่การบันทึกข้อมูลรูปแบบใหม่ที่ไม่ต้องอาศัยคนกลางแบบเดิมๆ

ที่อาจจะ “ไว้ใจไม่ได้” แต่อาศัยตัวกลางที่เป็นระบบเครือข่าย ที่เชื่อมโยงคอมพิวเตอร์จากผู้คนทั่วทั้งโลกในการบันทึกข้อมูล โดยทุกชุดข้อมูล จะถูกสร้างความสัมพันธ์ให้เชื่อมโยงกัน (โดยการสร้างลายเซ็นดิจิทัล) เสมือนการสร้าง “ห่วงโซ่” ที่ผูกทุกชุดข้อมูลเอาไว้อย่างแน่นหนา เพื่อทำให้ชุดข้อมูลเหล่านี้กลายเป็นชุดข้อมูลที่ “แข็งแกร่ง” ที่ทุกคนในโลกเชื่อถือได้อย่างสมบูรณ์

ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ คริปโตเคอร์เรนซี และเทคโนโลยีบล็อกเชน ได้กลายเป็นสิ่งที่ผู้คนทั่วทั้งโลกให้ความสนใจ และกำลังหาทางในการประยุกต์ใช้เพื่อสร้างมูลค่าให้กับตนเอง องค์กร และสังคม อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีทุกเทคโนโลยี ก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย เปรียบเสมือนมีดหรือดาบที่สามารถใช้ในการตัดสิ่งของต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

แต่ในขณะเดียวกัน ก็สามารถบาดมือและสร้างบาดแผลให้กับผู้ใช้ที่ไม่ระมัดระวังได้ ดังเช่น ในคำสุภาษิตไทยคำว่า “ดาบสองคม” แต่สำหรับคริปโตเคอร์เรนซี นั้น ผู้เขียนคิดว่าคำว่า “ดาบสองคม” น่าจะยังไม่เหมาะสมและไม่เพียงพอที่จะสะท้อนถึงลักษณะของข้อดีและข้อเสียที่แท้จริงของคริปโตเคอร์เรนซีได้

ผู้เขียน จึงขอเสนอการใช้คำว่า “ดาบแสนคม” ในการเปรียบเทียบข้อดีข้อเสียของคริปโตเคอร์เรนซี โดยผู้เขียน ต้องการที่จะสื่อให้เห็นว่าคริปโตเคอร์เรนซีนั้น ถึงแม้จะมีประโยชน์ในด้านต่างๆ อยู่หลายด้าน แต่ถ้าถูกใช้อย่างไม่ระมัดระวังหรือไม่ถูกต้อง ก็สามารถสร้างผลเสียอย่างรุนแรงในรูปแบบที่หลายคนอาจจะไม่ได้ตระหนักมาก่อน

เปรียบเสมือนดาบที่มีความ “คมกริบ” ที่ผู้ใช้จะต้องเป็นผู้ที่มีความชำนาญอย่างแท้จริงเท่านั้นถึงจะควรใช้ดาบเล่มนี้

ประโยชน์ “จริงๆ” ของคริปโตเคอร์เรนซีในปัจจุบัน (และอีกหลายปีในอนาคต)

มีบทความมากมายที่กล่าวถึงคริปโตเคอร์เรนซี โดยเฉพาะในด้านประโยชน์ของคริปโตเคอร์เรนซี ซึ่งประโยชน์ของคริปโตเคอร์เรนซี ที่ถูกพูดถึงค่อนข้างมาก ได้แก่ ความปลอดภัยในการทำธุรกรรมที่เพิ่มมากขึ้นเนื่องจากอาศัยเทคโนโลยีบล็อกเชนที่มีความปลอดภัยสูง ความสะดวกรวดเร็วในการทำธุรกรรมที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากสามารถใช้คอมพิวเตอร์ทำโดยอัตโนมัติได้ วันละ 24 ชั่วโมง 7 วันต่อสัปดาห์

และค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรมต่างๆ ที่จะถูกลง เนื่องจากไม่ต้องทำผ่านสถาบันทางการเงินที่อาจจะคิดค่าธรรมเนียมในอัตราที่สูง (เพราะสถาบันทางการเงินเองก็มีค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่ต้องจ่ายอยู่มาก เช่น เงินเดือนพนักงาน และค่าเช่าสำนักงาน) ทำให้คนจำนวนหนึ่งที่ไม่สามารถทำธุรกรรมทางการเงินได้เนื่องจากค่าธรรมเนียมมีอัตราสูงสามารถเข้าถึงได้มากขึ้น

นอกจากนี้ ประโยชน์อีกประการหนึ่งที่ทำให้คนจำนวนมาก “ต้องเล่นคริปโต” คือ โอกาสในการได้รับผลตอบแทนในการลงทุนในระดับสูงเพราะเชื่อว่าคริปโตเคอร์เรนซี คือสกุลเงินแห่งอนาคต ที่อาศัยเทคโนโลยีบล็อกเชนซึ่งเป็นเทคโนโลยีแห่งอนาคตเช่นกัน

แต่ถ้าหากพิจารณาดูให้ดี ประโยชน์ที่กล่าวข้างต้นไม่ใช่ประโยชน์ “จริงๆ” ของคริปโตเคอร์เรนซีโดยเฉพาะประโยชน์ในปัจจุบัน (และอีกหลายปีในอนาคต) ที่คนคนหนึ่ง หรือองค์กรหนึ่งๆ ควรหันมาใช้หรือถือครองคริปโตเคอร์เรนซี เพราะในปัจจุบัน ธุรกรรมทางการเงินที่ทำผ่านสถาบันทางการเงิน ก็มีความปลอดภัยในระดับที่สูงมาก แถมยังต้องได้รับการกำกับดูแลจากหน่วยงานตรวจสอบของภาครัฐ

ในทางกลับกัน ธุรกรรมทางการเงินที่ใช้คริปโตเคอร์เรนซีนั้น แทบจะตรวจสอบไม่ได้เลย ซึ่งในอดีตก็เคยเกิดเหตุการณ์ที่สร้างความเสียหายให้กับผู้ใช้คริปโตเคอร์เรนซี เช่น เหตุการณ์การโจรกรรมคริปโตเคอร์เรนซีครั้งใหญ่ที่เคยเกิดขึ้นกับ Mt. Gox ซึ่งเป็นตลาดซื้อขายคริปโตเคอร์เรนซี ที่เคยมีขนาดใหญ่ที่สุดของโลก

บทความศศินทร์

นอกจากนี้ ความสะดวกรวดเร็วในการทำธุรกรรมทางการเงินผ่านสถาบันทางการเงินที่ใช้ระบบ Mobile Banking ก็มีความสะดวกรวดเร็วในระดับที่สูงมาก ซึ่งค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรมหลายประเภทนั้นแทบจะไม่มีค่าธรรมเนียมอยู่แล้ว เช่น การโอนเงินระหว่างบุคคล หรือการจ่ายค่าสินค้าและบริการต่างๆ ผ่าน QR Code หรือ ระบบ Online Payment

ส่วนประโยชน์ในด้านการลงทุนนั้น คริปโตเคอร์เรนซี ไม่ใช่เครื่องมือสำหรับการ “รวยทางลัด”หรือ “รวยเร็ว” จากการได้รับผลตอบแทนในระดับสูง เพราะผลตอบแทนของคริปโตเคอร์เรนซี มีความผันผวนสูงมากและไม่มีอะไรมายืนยันหรือรองรับว่า ราคาของคริปโตเคอร์เรนซีในแต่ละตัวนั้น จะเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ ตลอดไป

อันที่จริง ประโยชน์ในด้านการลงทุนของคริปโตเคอร์เรนซี ที่พอจะมีความน่าเชื่อถืออยู่บ้าง คือ ประโยชน์ในด้านการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุน โดยมีงานวิจัยชั้นนำหลายชิ้นพบว่า คริปโตเคอร์เรนซี สามารถช่วยป้องกันหรือลดความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุนได้

เช่น งานวิจัยของ Akhtaruzzaman และคณะ (2020) ที่ศึกษาข้อมูลของประเทศสหรัฐอเมริกา ระหว่างปี 2011 ถึง 2018 และพบว่า Bitcoin สามารถป้องกันหรือลดความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุนที่ลงทุนในภาคอุตสาหกรรมและดัชนีหุ้นกู้ได้เพราะราคาของ Bitcoin ไม่มีการเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกับสินทรัพย์อื่นอย่างสมบูรณ์

งานวิจัยของ Urquhart และ Zhang (2019) พบว่า Bitcoin สามารถช่วยป้องกัน (Hedge) และช่วยกระจายความเสี่ยง (Diversify) ในการซื้อขายระหว่างวันในตลาดอัตราแลกเปลี่ยน นอกจากนี้ Bouri และคณะ (2020) ยังพบอีกว่านอกจาก Bitcoin แล้วยังมี Ethereum และ Litecoin ที่มีคุณลักษณะของการป้องกันความเสี่ยงสำหรับการลงทุนในหุ้นสามัญในตลาดเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่นได้

อย่างไรก็ดี Goodell และ Goutte (2021) กลับพบว่า Tether ซึ่งเป็นหนึ่งใน Stable Coin ตัวหลักของโลกมีคุณลักษณะในการเป็น Safe Haven (สินทรัพย์ที่ราคาไม่มีการเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกับสินทรัพย์อื่นในพอร์ตการลงทุน) ได้ดีในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูงเช่นในช่วงการระบาดของ COVID-19 ในขณะที่ Bitcoin ไม่มีคุณลักษณะในการเป็น Safe Haven เพราะราคามีการเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกันกับสินทรัพย์หลักตัวอื่นๆ เช่น หุ้นสามัญ เป็นต้น

ดังนั้น แม้ว่าคริปโตเคอร์เรนซี มีแนวโน้มที่จะมีประโยชน์ในด้านการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุน   แต่เนื่องจากคริปโตเคอร์เรนซี เป็นนวัตกรรมทางการเงินชนิดใหม่มากๆ ที่ยังต้องมีการศึกษาวิจัยอีกมาก แถมข้อมูลที่ใช้วิเคราะห์มีระยะเวลาเพียงไม่กี่ปีเท่านั้น ดังนั้น จึงยังมีอีกหลายอย่างที่ทุกคนควรตระหนักว่า “เรายังไม่รู้” อีกมากเกี่ยวกับคริปโตเคอร์เรนซี

อันตราย “จริงๆ” ของคริปโตเคอร์เรนซีในปัจจุบัน (และอีกหลายปีในอนาคต)

สิ่งที่อันตรายที่สุดของคริปโตเคอร์เรนซี คือ การที่คนจำนวนมากเข้ามา “เล่นคริปโตฯ” หรือ “เล่นดาบแสนคม” เล่มนี้ทั้งๆ ที่ยังไม่มีความชำนาญอย่างแท้จริง ซึ่งคล้ายๆ กับการที่เราเห็นเด็กคนหนึ่งเอาของมีคมมาเล่นกับเพื่อน ซึ่งคงเป็นภาพที่คิดแล้ว น่าจะสร้างความกังวลให้กับทุกๆ คนอย่างไม่น้อย

ในปัจจุบัน คนจำนวนมากซื้อคริปโตเคอร์เรนซีเพื่อการลงทุน โดยหวังว่าราคาของคริปโตเคอร์เรนซี จะมีมูลค่าสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ในอนาคต อย่างไรก็ตาม มูลค่าของเหรียญจะสูงขึ้นได้ จะมีเพียงกรณีเดียวก็คือ มีคนที่มีความต้องการซื้อและถือเหรียญคริปโตเคอร์เรนซีมากขึ้น เนื่องจากเหรียญคริปโตเคอร์เรนซีนั้น ไม่มีความสามารถในการสร้างผลตอบแทน เช่น เงินปันผล และไม่สามารถนำไปบริโภคหรือใช้ทำประโยชน์อื่นๆ ได้

การลงทุนในเหรียญคริปโตเคอร์เรนซี เป็นการคาดการณ์ว่าจะมีเงินใหม่ไหลเข้ามาในตลาดเพื่อสร้างผลตอบแทนให้เงินเก่า และเนื่องจากจำนวนคนที่สนใจซื้อเหรียญคริปโตเคอร์เรนซีมีจำกัด ในที่สุดแล้วราคาเหรียญคริปโตเคอร์เรนซี ก็จะไม่สามารถขึ้นต่อไปได้ตลอดเวลาและอาจจะถึงจุดอิ่มตัวเมื่อไหร่ก็ได้

นอกจากนี้ ราคาของเหรียญคริปโตเคอร์เรนซี ยังมีความผันผวนมากกว่าการลงทุนในรูปแบบอื่นที่นักลงทุนนิยม เช่น การลงทุนในหุ้นค่อนข้างมาก และที่สำคัญ งานวิจัยของ Phiromswad และคณะ (2021) ยังตรวจพบวันที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง ในราคาของเหรียญคริปโตเคอร์เรนซีที่มากกว่า 27 ใน 123 วันที่ทำการศึกษาซึ่งเป็นปริมาณที่ค่อนข้างสูง

อันตราย อีกประการหนึ่งของคริปโตเคอร์เรนซี คือ การที่หลายคนคิดไปเองว่าตนสามารถเก็งกำไรในการชื้อขายคริปโตเคอร์เรนซีได้ และหวังว่าวิธีนี้จะเป็นวิธี “รวยทางลัด”

โดยงานวิจัยชิ้นหนึ่งของ Delfabbro และคณะ (2021) ซึ่งตีพิมพ์ในวารสาร “Journal of Behavioral Addictions” ซึ่งเป็นวารสารชั้นนำของโลกในด้านพฤติกรรมเสพติด ได้กล่าวถึงพฤติกรรมของผู้ที่ชื้อขายคริปโตเคอร์เรนซีในเชิงจิตวิทยาว่า มีปัจจัยเสี่ยงหลายปัจจัยที่เหมือนกับการพนันออนไลน์ (Online Gambling) หรือนักเก็งกำไรรายวัน (Day Trader)

เช่น การคิดไปเองว่าตนสามารถควบคุมผลลัพธ์ ของการชื้อขายคริปโตเคอร์เรนซีได้ ซึ่งคนเรามักจะคิดเข้าข้างตัวเองไปว่า ตอนที่สามารถทำกำไรได้จากการพนัน การเก็งกำไรรายวัน หรือการชื้อขายคริปโตเคอร์เรนซี นั้น เป็นผลมาจากความสามารถในกลยุทธ์ของตนเอง แต่ในขณะที่ขาดทุน กลับไม่โทษกลยุทธ์นั้นและกลับคิดไปเองว่าปัจจัยภายนอกเป็นสาเหตุที่ทำให้ขาดทุน

อีกประเด็นที่สำคัญ คือ ผู้ที่ถือเหรียญคริปโตเคอร์เรนซีอยู่แล้ว จะมีแนวโน้มที่อยากจะชักชวนให้ผู้อื่นเข้ามาถือเหรียญคริปโตเคอร์เรนซีมากขึ้น ทั้งในแบบบริสุทธิ์ใจ ที่อยากแบ่งปันสิ่งที่ตนคิดว่าดีให้กับผู้อื่น หรือทั้งแบบไม่บริสุทธิ์ใจที่อยากให้คนอื่นเข้ามาซื้อเหรียญคริปโตเคอร์เรนซีมากขึ้น เพื่อให้ราคาเหรียญที่ตนถืออยู่มีมูลค่าสูงขึ้น

โดยใช้สื่อต่างๆ โดยเฉพาะสื่อสังคมออนไลน์ เป็นเครื่องมือในการสร้างกระแสความนิยมของคริปโตเคอร์เรนซีที่สามารถกระจายข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและเป็นวงกว้าง ซึ่งสิ่งนี้ สามารถทำให้เกิดปรากฏการณ์ที่ถูกเรียกว่า “ความกลัวตกกระแส (แต่ไม่กลัวเจ็บ)” (Fear of Missing Out : FOMO)

ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่เวลาคนเราเห็นคนอื่นมีความสุข มีความสนุก หรือกำลังได้รับประโยชน์อะไรบางอย่างเช่น ถูกรางวัลลอตเตอรี่ ชนะพนัน ได้กำไรจากการเก็งกำไรรายวัน หรือได้กำไรจากการชื้อขายคริปโตเคอร์เรนซี ก็อยากที่จะได้รับความสุข ความสนุก หรือประโยชน์อย่างที่คนอื่นๆ เขาได้กันบ้าง

และมีแนวโน้มที่จะเข้าร่วมกิจกรรมเหล่านี้มากขึ้นเป็นอย่างมาก ซึ่งคนส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมดจะต้องเจ็บตัวจากการเข้าร่วมกิจกรรมนี้

การลงทุนในเหรียญคริปโตเคอร์เรนซี เป็นการใช้เงินใหม่เพื่อสร้างผลตอบแทนให้เงินเก่า ประกอบกับการลงทุนในคริปโตเคอร์เรนซี ยังไม่มีการกำกับควบคุมดังเช่นการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ จึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ว่าอาจจะมีกลุ่ม “เงินเก่า” ระดับใหญ่ ที่บางคนเรียกว่า “เจ้ามือ” หรือ “วาฬ” ที่เป็นกลุ่มคนที่ถือเหรียญบางเหรียญไว้เป็นจำนวนมาก

มีความตั้งใจที่จะสร้างกระแสและโฆษณา หรือ “ปั่น” เพื่อดึง “เงินใหม่” จากนักลงทุนรายเล็กที่มักจะถูกเรียกว่า “แมลงเม่า” ให้มีความต้องการซื้อเหรียญนั้นๆ เพิ่มมากขึ้น และดันราคาเหรียญให้มีราคาสูงขึ้น แต่เนื่องจากเงินใหม่หรือจำนวนคนที่มีความต้องการเหรียญมีจำกัด สุดท้ายแล้วราคาเหรียญ ก็จะไม่สามารถขึ้นต่อไปได้ ถึงจุดอิ่มตัว ซึ่งเจ้ามือก็จะเทขายทำกำไร ได้รับผลกำไรอันสวยงาม

ในขณะที่นักลงทุนรายเล็กทั้งหลาย ต่างก็ต้องรับการขาดทุน ดังเช่นการ “หนีตาย” ที่เกิดขึ้นกับเหรียญ Luna ไม่นานมานี้ ที่เหรียญมีมูลค่าลดลงถึง 99% ใน 2 วัน ดังนั้น ผู้ที่ซื้อคริปโตเคอร์เรนซีเพื่อการลงทุนจะต้องพึงระวังเอาไว้มากๆ ว่า เมื่อถึงจุดอิ่มตัวที่ไม่มีผู้ซื้อใหม่หรือเงินก้อนใหม่เข้ามาซื้ออีก มูลค่าของเหรียญจะหยุดและไม่ขึ้นสูงได้อีก

อนาคตของคริปโตเคอร์เรนซี

ของมีคมทุกชนิดต่างๆ มีทั้งประโยชน์และโทษ ยิ่งคมมาก ก็ยิ่งต้องมีความระมัดระวังในการใช้อย่างมาก เช่นเดียวกันกับคริปโตเคอร์เรนซี ที่สามารถมองได้ว่าเป็น “ดาบแสนคม” ที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องจำเป็นจะต้องเข้ามากำกับดูแลเพื่อให้สังคมส่วนรวมได้รับประโยชน์มากกว่าโทษจากนวัตกรรมทางการเงินชนิดนี้

อย่างเช่น การกำกับดูแลการโฆษณาสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างเหมาะสม เพื่อให้ประชาชนทุกคนทราบทั้งประโยชน์และโทษของนวัตกรรมนี้อย่างรอบด้าน การโฆษณาที่อาจจะกระทบกับกลุ่มเปราะบาง เช่น เด็กและเยาวชน การเร่งให้ความรู้แก่ประชาชนถึงข้อควรระวังต่างๆ โดยเฉพาะความผันผวนของราคาคริปโตเคอร์เรนซี การบริหารความเสี่ยงทางการเงินส่วนบุคคลไม่ให้ใช้เงินทั้งหมดที่มีหรือกู้ยืมเงินมาเล่นคริปโตเคอร์เรนซีจนหมด

การประชาสัมพันธ์ข่าวด้านลบของผู้ที่หมดตัวจากคริปโตเคอร์เรนซีให้กว้างขวาง เพื่อไม่ให้ผู้บริโภคเสพแต่ข่าวดีเพียงด้านเดียว การบังคับให้ผู้ลงทุนทำแบบประเมินความเสี่ยงก่อนการลงทุนในเหรียญคริปโตเคอร์เรนซี การควบคุมดูแลโฆษณาที่ขัดแย้งกับหลักการที่กล่าวข้างต้น โดยเฉพาะโฆษณาที่สื่อว่าการมีความรู้ ความชำนาญ และความเข้าใจในความเสี่ยงของคริปโตเคอร์เรนซีเป็นเรื่องที่ไม่จำเป็น

การกำกับดูแลธุรกรรมต่างๆ ของคริปโตเคอร์เรนซี ที่สามารถสร้างผลเสียมากกว่าผลดีต่อสังคม เช่น การหลอกลวง การโจรกรรมทางดิจิทัล การจงใจ “ปั่นราคา” หรือแม้แต่ผลกระทบในเชิงลบต่อสิ่งแวดล้อมจากคริปโตเคอร์เรนซี เพราะเราทุกคนไม่ควร “ประมาท” ถ้าไม่อยากถูกบาดด้วย “ดาบแสนคม”

Related Posts