เจ้าหน้าที่คุมตัว “เณรคำ” ส่งเรือนจำ หลังดีเอสไอคุม ตัวให้อัยการส่งฟ้องศาลอาญา ในคดีพรากผู้เยาว์และพ.ร.บ.คอมพ์ แต่รอดข้อหาอนาจารเด็ก เพราะหมดอายุความแล้ว เผยถูกสอบเครียดถึงเช้า เจ้าตัวปฏิเสธทุกข้อหา ขอให้การชั้นศาลเท่านั้น ไม่ยอมให้ตรวจดีเอ็นเอ แต่ยอมถอดจีวร สวมชุดขาว รับทราบคำสั่งปาราชิก ขณะที่ศาลแพ่งตัดสินยึดทรัพย์เณรคำกับพวก มูลค่ารวม 43 ล้านบาท หลังไม่สามารถอธิบายแหล่งที่มาได้ บุกวัดอดีตเณรคำที่ศรีสะเกษพบเงียบเหงา

“เณรคำ”ยอมถอดจีวร

จากกรณีศาลของรัฐเเคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา มีคำสั่งให้ส่งตัวนายวิรพล สุขผล หรืออดีตพระเณรคำ ประธานสงฆ์สำนักสงฆ์วัดป่าขันติธรรม จ.ศรีสะเกษ กลับมาดำเนินคดีในข้อหาพรากผู้เยาว์, กระทำชำเราเด็กหญิงอายุต่ำกว่า 15 ปี, พ.ร.บ.คอม พิวเตอร์, ฉ้อโกงประชาชน และฟอกเงิน ที่ประเทศไทย โดยกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้เดินทางไปรับตัวถึงสนามบินสุวรรณภูมิ เมื่อเวลา 22.00 น. คืนวันที่ 19 ก.ค.ที่ผ่านมา ก่อนจะควบคุมตัวมาสอบสวนที่ดีเอสไอทันที ตามที่เป็นข่าวไปแล้ว

เมื่อวันที่ 20 ก.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานข่าวจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ว่า หลังจากที่พนักงานสอบสวนคดีพิเศษได้ควบคุมตัวพระเณรคำ มาสอบปากคำที่อาคารกรมสอบสวนคดีพิเศษ เมื่อเวลาประมาณ 23.30 น. คืนวันที่ 19 ก.ค.ที่ผ่านมา พนักงานสอบสวนควบคุมตัวพระเณรคำขึ้นไปยังห้องประชุม 3 ซึ่งถูกจัดเตรียมไว้เป็นห้องที่ใช้สอบปากคำและดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมายทั้งหมด โดยก่อนที่กระบวนการสอบสวนปากคำจะเริ่มขึ้น พนักงานสอบสวนได้ให้แพทย์จากโรงพยาบาลชลประทานตรวจร่างกายพระเณรคำ ซึ่งผลการตรวจพบว่ามีอาการปกติ แค่อ่อนเพลียเล็กน้อยจากการเดินทาง จากนั้น เจ้าหน้าที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ได้แสดงคำสั่งเจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษ ที่สั่งให้พระเณรคำต้องอาบัติปาราชิก โดยพระเณรคำกล่าวยอมรับคำสั่งของเจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษ และยอมปลดผ้าจีวรด้วยตัวเอง ก่อนจะนำเสื้อผ้าชุดขาวที่เจ้าหน้าที่เตรียมไว้ให้มาสวมใส่

ปฏิเสธข้อหา-ไม่ตรวจดีเอ็นเอ

จากนั้นพนักงานสอบสวนแจ้งข้อกล่าวหานายวิรพล หรืออดีตพระเณรคำทราบรวม 6 ข้อกล่าวหา คือ 1.ความผิดตามพ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ 2.ฉ้อโกงประชาชน 3.ฟอกเงิน 4.กระทำชำเราเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม ซึ่งเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 5.กระทำอนาจารเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 279 และ 6.ปราศจากเหตุอันสมควรพรากเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี ไปเสียจากบิดา มารดา ผู้ปกครอง ผู้ดูแล เพื่อการอนาจาร โดยนาย วิรพลให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา และขอให้การทั้งหมดในชั้นศาลเท่านั้น

ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่จากสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ขอตรวจดีเอ็นเอเพื่อเปรียบเทียบกับผู้เสียหายในความผิดเกี่ยวกับเพศ แต่นายวิรพลไม่ยอมให้ตรวจ ซึ่งถือเป็นสิทธิของผู้ต้องหา อย่างไรก็ตาม สำหรับการแจ้งข้อกล่าวหานั้น พนักงานสอบสวนได้แยกสำนวนเป็น 2 สำนวน คือ สำนวนคดีที่เกี่ยวกับเพศ และสำนวนคดีเกี่ยวกับพ.ร.บ.คอมพ์ ฟอกเงิน และฉ้อโกงประชาชน เพื่อไม่ให้ผู้ต้องหาเกิดความสับสน

“ดีเอสไอ”เค้นยาวถึงตี 4

รายงานข่าวแจ้งต่อว่า นายวิรพลเปิดเผยกับพนักงานสอบสวนว่า ได้เดินทางออกนอกประเทศไปก่อนที่จะถูกเจ้าหน้าที่ออกหมายจับ เพราะได้รับกิจนิมนต์จากต่างประเทศ และเมื่อทราบข่าวว่าถูกออกหมายจับก็ยังรู้สึกทำใจและยังตั้งหลักไม่ได้ จึงไม่ได้เดินทางกลับมายังประเทศอีกเลย ส่วนกรณีที่มีใครเป็นผู้คอยให้การช่วยเหลือระหว่างหลบหนีออกไปยังนอกประเทศนั้น ไม่ได้มีการให้การกับเจ้าหน้าที่ โดยขอให้การในชั้นศาลเท่านั้น ส่วนเหตุผลที่ยอมเดินทางกลับมายังประเทศไทย เนื่องจากทำใจได้แล้ว และพร้อมที่จะเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม

รายงานข่าวยังแจ้งอีกว่า สำหรับการสอบปากคำนายวิรพลนั้น ทุกขั้นตอนไม่ได้เร่งรัดอะไร อีกทั้งมีการหยุดพักระหว่างที่ทำการสอบปากคำด้วย เพราะเกรงว่าผู้ต้องหาจะเกิดอาการเครียด กระทั่งเวลาประมาณ 04.00 น. ของวันที่ 20 ก.ค.จึงสอบปากคำแล้วเสร็จ

คุมตัวส่งอัยการคดีพิเศษ

ต่อมาเวลา 10.00 น. ที่สำนักงานอัยการสูงสุด ถ.รัชดาภิเษก พนักงานสอบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ควบคุมตัวนายวิรพล มาส่งพนักงานอัยการสำนักงานคดีพิเศษ เพื่อนำตัวฟ้องศาลอาญา โดยการควบคุมตัวอดีตพระเณรคำจากดีเอสไอ ถ.แจ้งวัฒนะ มายังสำนักงานอัยการสูงสุด ถ.รัชดาภิเษก นั้น ได้จัดรถสายตรวจนำขบวนรถยนต์ฟอร์จูนเนอร์ สีดำ จำนวน 3 คันของดีเอสไอ เมื่อเดินทางมาถึงนายวิรพล ซึ่งอยู่ในชุดสวมเสื้อแขนสั้นและกางเกงขายาวสีขาว ถูกพาตัวลงมาจากรถฟอร์จูนเนอร์คันแรก เพื่อขึ้นไปพบอัยการสำนักงานคดีพิเศษโดยมีกำลังเจ้าหน้าที่ดีเอสไอควบคุมตัวไป

ต่อมานายวิรุณฬ ฉันท์ธนันท์ อัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 4 ดำเนินการสอบประวัติว่าเป็นบุคคลเดียวกับผู้ต้องหาหรือไม่ พร้อมแจ้ง คำสั่งฟ้องคดีอาญา ก่อนที่ดีเอสไอและอัยการควบคุมนายวิรพลมายื่นฟ้องต่อศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก พร้อมสำนวน

ชี้รอดคดีอนาจารเด็ก

ขณะเดียวกันที่ห้องประชุม 100 ปี ชั้น 11 สำนักงานอัยการสูงสุด ถ.รัชดาภิเษก ร.ท.สมนึก เสียงก้อง โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด, นายประยุทธ เพชรคุณ รองโฆษกฯ, นายวิรุฬห์ ฉันท์ธนันท์ อัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 4 ร่วมกันแถลงโดยกล่าวว่า อัยการคดีพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ ได้ตรวจพยานหลักฐานแสดงตัวบุคคลและคำให้การชั้นสอบสวนผู้ต้องหาแล้วเชื่อได้ว่าผู้ต้องหานั้นเป็นบุคคลเดียวกับนายวิรพล สุขผล โดยนายวิรุฬห์ ฉันท์ธนันท์ อัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 4 มีความเห็นสั่งฟ้อง 2 คดี คดีที่ 1 ฐานความผิดพรากเด็กอายุยังไม่เกิน 15 ปีฯ และกระทำชำเราเด็กอายุไม่เกิน 15 ปีซึ่งไม่ใช่ภริยาตนฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคแรก ที่อัตราโทษจำคุกตั้งแต่ 4-20 ปี และมาตรา 317 วรรคสามอัตราโทษจำคุกตั้งแต่ 5-20 ปี ซึ่งเป็นการสั่งฟ้องตามความเห็นเดิมที่พนักงานสอบสวนเคยสรุปสำนวนส่งให้อัยการ

แต่ในข้อหาทำอนาจารเด็กอายุไม่เกิน 15 ปีและพาเด็กอายุไม่เกิน 15 ปีไปเพื่อการอนาจาร ซึ่งเป็นข้อหาเล็ก ตาม ม.279, 283 ทวิ นั้นอัยการสั่งยุติดำเนินคดี เนื่องจากคดีขาดอายุความแล้ว เพราะคดีมีอายุความ 15 ปีนับแต่วันกระทำผิด ซึ่งเหตุข้อกล่าวหานั้นเกิดเมื่อปี 2543-2544 คดีจึงขาดอายุความตั้งแต่ปี 2559

อัยการค้านประกันหวั่นหนี

คดีที่ 2 อัยการสั่งฟ้องอดีตพระเณรคำ ฐานนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลปลอมหรือเท็จฯ ตามพ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2551 มาตรา 14 โทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี และข้อหาฉ้อโกงประชาชนตามมาตรา 343 โทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี และฐานฟอกเงิน ตามพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ม.5, 60 โทษจำคุกตั้งแต่ 1-10 ปี ตามความเห็นของพนักงานสอบสวนเช่นเดียวกัน ซึ่งการยื่นฟ้องสำนวนคดีฉ้อโกงฯนี้ อัยการได้ระบุท้ายฟ้องขอให้ศาลสั่งอดีต พระเณรคำ จำเลย คืนทรัพย์สินแก่ผู้เสียหาย 29 คน รวมเป็นเงิน 28.6 ล้านบาทเศษด้วย โดยทั้งสองคดีในการยื่นฟ้องต่อศาลนั้น อัยการได้ขอให้ศาลนับโทษทั้ง 2 คดีต่อจากกันด้วย พร้อมคัดค้านการให้ประกันตัวในศาล เนื่องจากเคยมีพฤติการณ์จะหลบหนี จึงเกรงว่าหากปล่อยชั่วคราวจะหลบหนีอีก

ศาลรับฟ้อง-ส่งเข้าเรือนจำ

ต่อมาอัยการสำนักงานคดีพิเศษ 4 นำตัวนายวิรพล มายื่นฟ้องเป็นจำเลย ต่อศาลอาญา ซึ่งเจ้าหน้าที่ศาลได้พาตัวลงมาควบคุมตัวยังห้องเวรชี้ ชั้น 1 ของศาล เพื่อรอสอบคำให้การคดีทั้ง 2 สำนวน โดยศาลอาญาประทับรับคำฟ้องคดีพรากผู้เยาว์ฯ และกระทำชำเราเด็กอายุไม่เกิน 15 ปีฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา ม.277 วรรคแรก และ ม.317 วรรคสาม ไว้เป็นคดีหมายเลขดำ อ.2340/60 และคดีฉ้อโกงประชาชน, พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2551 ม.14 และฐานฟอกเงิน ตามพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ม.5, 60 รับไว้เป็นคดีหมายเลขดำ อ.2341/2560 ซึ่งนายวิรพล ให้การปฏิเสธขอต่อสู้คดีทั้ง 2 สำนวน ศาลจึงนัดตรวจพยานหลักฐานทั้งสองคดีในวันที่ 18 ก.ย.นี้ เวลา 09.00 น. ทั้งนี้เนื่องจากนายวิรพล ไม่ได้ยื่นประกันตัว ต่อมาเวลา 13.30 น. เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์จึงควบคุมตัวไปขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ

ศาลแพ่งยึดทรัพย์ 43 ล้าน

ด้านนายภาณุ สุขวัลลิ ทนายความของ นายวิรพลเปิดเผยว่า ตนเป็นหนึ่งในทีมทนายความของนายวิรพล ซึ่งมีทนายประมาณ 2-3 คน โดยวันนี้จะยังไม่ยื่นขอปล่อยชั่วคราว โดยจะรอดูรายละเอียดสำนวนคดีก่อน ตนได้พูดคุยกับนายวิรพลแล้ว ก็ไม่ได้มีอาการเครียดหรือวิตกกังวลใดๆ ขณะที่พยานหลักฐานที่จะนำมาใช้ต่อสู้คดีก็จะต้องสอบถามจากนายวิรพลอีกครั้ง

วันเดียวกัน ที่ศาลแพ่ง ถ.รัชดาภิเษก มีคำพิพากษาคดีหมายเลขดำ ฟ.61/2556 ที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีพิเศษ 3 ยื่นคำร้องขอให้ทรัพย์สินมูลค่า 43 ล้านบาทเศษของนาย วิรพล สุขผล กับพวกซึ่งเป็นผู้คัดค้านรวม 8 คน ตกเป็นของแผ่นดิน ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินฯ โดยศาลแพ่ง เห็นว่า นายวิรพล และผู้คัดค้านทั้ง 8 คน ไม่สามารถชี้แจงแหล่งที่มาของทรัพย์ได้ ขณะที่นายวิรพล บวชเป็นพระมีรายได้จากประชาชนที่มาทำบุญ ไม่ได้มีรายได้จากแหล่งอื่น จึงเชื่อว่าทรัพย์สิน 27 รายการ อาทิ ที่ดิน-สิ่งปลูกสร้าง, รถหรูปอร์เช่, รถจักรยานยนต์ และทรัพย์อื่น ว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำความผิด ตามพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน จึงให้ทรัพย์สินทั้ง 27 รายการ มูลค่ากว่า 43 ล้านบาทตกเป็นของแผ่นดิน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคดีแพ่งริบทรัพย์ดังกล่าว เป็นคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ซึ่งนายวิรพล อดีตพระเณรคำและผู้ที่มีชื่อทรัพย์สิน สามารถยื่นอุทธรณ์คัดค้านต่อศาลอุทธรณ์ได้อีกภายใน 30 วัน

จัดอยู่แดนเดียวกับ”ตู่ จตุพร”

ด้านนายกฤช กระแสร์ทิพย์ ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ กล่าวว่า รับตัวนายวิรพลมา เมื่อเวลา 13.00 น. โดยขั้นตอนการรับตัว ผู้ต้องขังใหม่นั้น เจ้าหน้าที่เรือนจำจะตรวจสุขภาพร่างกาย พิมพ์ลายนิ้วมือ และจัดทำประวัติผู้ต้องขัง ซึ่งพบว่านายวิรพลมีสุขภาพที่แข็งแรงดี ไม่มีโรคประจำตัวอะไร จากนี้ก็จะนำไปควบคุมตัวไว้ยังแดนแรกรับ ปกติของผู้ต้องขังใหม่ เรือนจำก็จะต้องส่งนักสังคม สงเคราะห์ หรือนักจิตวิทยา เข้าไปพูดคุยเรื่องการปรับตัว ซึ่งพบว่านายวิรพลมีอาการเครียดเล็กน้อย แต่ก็บอกกับเจ้าหน้าที่ว่าอยู่ในเรือนจำยังรู้สึกปลอดภัยกว่าข้างนอก ทั้งนี้ ทางอธิบดีกรมราชทัณฑ์ไม่ได้กำชับอะไรเป็นพิเศษ เนื่องจากทางเรือนจำมีขั้นตอนดูแล ผู้ต้องขังอยู่แล้ว

ผู้สื่อข่าวถามว่า ทางเรือนจำจะจัดให้นายวิรพลนอนคู่กับนายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ที่ถูกศาลฎีกาตัดสินจำคุก 1 ปี ในคดีหมิ่นประมาทนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี นายกฤชกล่าวว่า ยังไม่ได้รับรายงานจากเจ้าหน้าที่เรือนจำ แต่ตามระเบียบแล้วทั้งคู่สามารถอยู่ด้วยกันได้ เพราะไม่ใช่ผู้ต้องขังที่เป็นคู่คดีเดียวกัน

วัดอดีตเณรคำเงียบเหงา

วันเดียวกัน ที่วัดสามัคคิยาราม หรืออดีตวัดป่าขันติธรรม ต.ยาง อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ ซึ่งเป็นวัดที่อดีตหลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก หรือนายวิระพล สุขผล ได้จัดสร้างขึ้นมาและขณะนี้ได้มีการจัดตั้งวัดอย่างถูกต้องตามกฎหมายแล้ว ปรากฏว่า บรรยากาศภายในวัดเช้าวันนี้ค่อนข้างเงียบเหงา ภายในวัดไม่มีญาติโยมหรือพระสงฆ์เดินอยู่ภายในวัด แตกต่างจากช่วงยุคที่มีเณรคำอยู่ในวัดแห่งนี้ ซึ่งจะมีพุทธศาสนิกเข้ามาวัดจำนวนมาก ทั้งนี้ ตามผนังกุฏิยังมีรูปภาพของพระเณรคำสมัยยังเป็นเณรติดอยู่หลายรูป โดยส่วนมากแล้วจะเป็นรูปที่ถ่ายคู่กับหลวงปู่สมบูรณ์ ขันติโก ซึ่งเป็นพระอาจารย์ของเณรคำ ซึ่งปัจจุบันท่านย้ายไปจำพรรษาอยู่ที่จ.อุบลราชธานี นานหลายปีแล้ว

พระปัญญา ฐานิสสโร พระลูกวัด กล่าวว่า รู้สึกดีใจที่หลวงปู่เณรคำกลับมาประเทศไทยเพื่อจะได้ต่อสู้คดีที่ถูกกล่าวหาอย่างเต็มที่ เนื่องจากที่ผ่านมาท่านถูกกล่าวหาแต่เพียงฝ่ายเดียว การที่ท่านได้มีโอกาสต่อสู้คดีแก้ข้อกล่าวหาจะทำให้ญาติโยมรวมทั้งลูกศิษย์ทุกคนได้หายข้องใจว่าท่านไม่มีความผิด

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน