วันที่ 12 ส.ค. จากกรณีที่โลกออนไลน์ได้มีการแชร์คลิปเหตุกาณ์แยกลูกกันนั้น เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นที่บ้าน บริเวณ ต.พุเตย อ.วิเชียรบุรี โดยเจ้าหน้าที่สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จ.เพชรบูรณ์ และเจ้าหน้าที่ตำรวจสภ.พุเตย อ.วิเชียรบุรี ได้เดินทางไปยังบ้านที่เกิดเหตุ พบกับน.ส.เอ (นามสมมุติ) อายุ 17 ปี เป็นผู้หญิงในคลิปและเป็นแม่ของเด็ก เล่าให้เจ้าหน้าที่ฟังว่า ตนกับกับแฟนอยู่กินด้วยกันตั้งแต่ตนอายุ 13 ปี จากนั้นอีก 1 ปีก็มีลูกชายด้วยกัน

ต่อมาเมื่อแฟนได้งานทำที่บริษัทแห่งหนึ่งใกล้บ้านจึงได้ย้ายออกไปเช่าบ้านพักใกล้ที่ทำงาน โดยแฟนทำงานคนเดียว ส่วนตนเลี้ยงลูกอยู่บ้านพัก กระทั่งช่วงหลังแฟนไปคบกับผู้หญิงอื่นจึงได้ทะเลาะกันตนจึงเอาลูกกลับมาอยู่ที่บ้านพ่อโดยที่แฟนไม่เคยดูแลเลย กระทั่งวันเกิดเหตุจู่ ๆ แฟนกับญาติได้มาแย่งเอาลูกไปตนไม่ยอมจึงได้ไปแจ้งความและเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ไกล่เกลี่ยให้สลับกันเลี้ยงดูคนละเดือน

ต่อมาเวลา 11.00 น. วันเดียวกัน เจ้าหน้าที่ได้เดินทางไปยังบ้านพ่อของเด็ก บริเวณ ต.วังใหญ่ อ.วิเชียรบุรี พบกับนายมณฑล (สงวนนามสกุล) อายุ 22 ปี พ่อของเด็ก กล่าวว่า ตนคบกับน.ส.เอ ขณะนั้น น.ส.เอ บอกว่าอายุ 14 ปี และได้เข้ามาอยู่ที่บ้านของตน กระทั่งตั้งท้องซึ่งตนและพ่อแม่และญาติ ๆ ก็ได้ดูแลอย่างดี กระทั่งคลอดก็ได้ช่วยกันดูแลและเลี้ยงดูลูกอายุเกือบ 1 ขวบ ตนก็ได้งานที่บริษัทแห่งหนึ่งห่างจากบ้านประมาณ 30 กิโลเมตร ตนจึงย้ายไปเช้าบ้านพักใกล้กับที่ทำงานพร้อมกับแฟนและลูกชาย โดยที่ให้แฟนมีหน้าที่เลี้ยงลูกอยู่ที่บ้านพัก

แต่มาระยะหลังแฟนชอบหนีเที่ยวปล่อยให้ลูกอยู่บ้านเพียงลำพัง จึงเกิดการทะเลาะกัน แฟนจึงพาลูกกลับมาอยู่ที่บ้านพ่อโดยให้แม่เลี้ยง ซึ่งเป็นแฟนใหม่ของพ่อน.ส.เอ เป็นคนดูแล ส่วนแฟนทราบมาว่ายังเที่ยวเช่นเดิม ในบางครั้งแม่เลี้ยงก็แอบมาหาตนเองที่บ้านเพื่อมาขอเงินซื้อนมบ้าง ซื้อกับข้าวบ้าง ตนเห็นว่าหากปล่อยให้ลูกอยู่กับแฟนก็อาจจะเลี้ยงดูลูกได้ไม่ดี จึงอยากที่จะขอนำมาเลี้ยงเอง จนกระทั่งเกิดเรื่องดังกล่าว แต่ทั้งนี้ได้มีการเจรจาและบันทึกตกลงไว้ที่สถานีตำรวจแล้ว ก็ไม่ทราบว่าเหตุใดจึงมีการโพสต์คลิปดังกล่าว ซึ่งกระแสโซเชียลทำให้ตนและญาติ ๆ เสียหายเป็นอย่างมาก ตนจึงอยากจะให้ฟังเหตุผลทั้งสองด้าน

ด้านเจ้าหน้าที่สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์กล่าวว่า จากการลงพื้นที่เพื่อมาหาข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ดังกล่าว แต่ทั้งนี้ต้องพิจารณาที่ตัวเด็กเป็นหลักซึ่งจากการลงพื้นที่เก็บข้อมูลแล้วก็จะได้ประชุมร่วมกับทีมสหวิชาชีพซึ่งประกอบไปด้วยตัวแทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ตำรวจ เพื่อพิจารณาว่าเด็กควรที่จะอยู่ในความดูแลของใคร แต่ถ้าหากยังมีการคัดค้านของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือตกลงกันไม่ได้ก็ต้องให้ทั้งสองฝ่ายไปฟ้องร้องให้ศาลพิจารณาตัดสินต่อไป

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน