น.ร.โรงเรียนหญิงล้วนชื่อดัง เมืองร้อยเอ็ด ยืนเด่นปราศรัยกลางโรงอาหาร จวกอำนาจนิยมในโรงเรียน ซัด รบ.แก้ปัญหาว่างงานไม่ได้ ชวนมาม็อบ ราชดำเนิน

เมื่อวันที่ 12 ต.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นักเรียนโรงเรียนหญิงล้วนชื่อดัง ในจังหวัดร้อยเอ็ด ขึ้นกล่าวปราศรัยกลางโรงอาหารถึงปัญหาในโรงเรียน ท่ามกลางเสียงปรบมือเป็นระยะ และจบกิจกรรมภายในระยะเวลาประมาณ 20 นาที โดยถ่ายทอดสดผ่านเฟซบุ๊กที่ชื่อว่า สหภาพร้อยเอ็ดปลดแอก

ซึ่งนักเรียนโรงเรียนหญิงคนดังกล่าว ได้ปราศรัยถึงเรื่อง อำนาจนิยมในโรงเรียน และ การศึกษาไทย รวมถึงปัญหาการว่างงาน พร้อมเชิญชวนผู้สนใจร่วมกันเปลี่ยนแปลงอนาคตของตนเอง ร่วมกิจกรรมชุมนุมวันที่ 14 ตุลาคมนี้ ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย กรุงเทพฯ

ตัวแทนนักเรียนกล่าวว่า วันนี้ขอใช้เวลาไม่นาน อยากให้ทุกคนได้ฟังเรื่องที่อึดอัดมาตลอด 1.อำนาจนิยมในโรงเรียน อำนาจคือสิ่งที่ผู้มียศสูงกว่าใช้กดหัวเราลงมา ในที่นี้อำนาจนิยมในโรงเรียนคือครู หรือคนที่เรียกตัวเองว่าแม่พิมพ์แห่งชาติ

ใช้อำนาจตัวเองกดเราให้อยู่ในกรงที่สร้างขึ้นมา เมื่อเราพยายามออกจากกรงนั้น เขาจะสวนกลับมาว่า นี่มาเถียงฉันหรือ เรื่องเหล่านี้ไม่ควรเกิดขึ้น การอบรมสั่งสอนเป็นสิ่งที่ครูควรกระทำ และควรอยู่ในเกณฑ์ที่พอดี

“การอบรมสั่งสอนเพื่อให้ตนเองพึงพอใจ ไม่สมควรจะมายุ่งกับเรา ทั้งทรงผม ถุงเท้า แม้แต่สีเสื้อในที่ดิฉันใส่อยู่ในตอนนี้ ถ้าเอาให้ใกล้ตัวกว่านั้นคือสีเสื้อกันหนาวที่ใส่มาตอนเช้านั้นผิดอย่างไร ใส่มาเนื่องจากแดดร้อน แต่คุณบอกให้ถอด เพราะอยากได้ระเบียบวินัย

ซึ่งระเบียบวินัยไม่ได้สร้างมาจากเสื้อกันหนาว แต่สร้างมาจากตัวคน การที่เราถูกอบรมสั่งสอนนอกห้องเรียนแบบนี้ คุณได้ย้อนกลับมาดูหรือยังว่า คนที่สอนเรานอกห้องเรียน ทำหน้าที่เป็นครูสั่งสอนให้เราเรียนบทเรียนนั้นได้ดีแล้วหรือไม่

การที่ครูคนหนึ่จะมาสอนเรา โดยที่เมื่อเราพูดอะไรออกไป แล้วเขาบอกว่าเราเป็นแบบนั้น แบบนี้ สมมุติใส่ถุงเท้าไม่ถูระเบียบ ไม่ถูกใจ แล้วด่าเรา อย่างนี้ใช่เรื่องที่จะต้องมาสอนเราหรือไม่” ตัวแทนนักเรียนกล่าว

ตัวแทนนักเรียนกล่าวว่า สงสัยว่าในการสอบครูไม่มีการสอบจรรยาบรรณครูหรือ หรือจรรยาบรรณครูเป็นสิ่งที่ท่องจำกันมาเพื่อใช้ในการสอบ เหมือนที่เอาบทเรียนให้นักเรียนท่องจำเพื่อใช้ในการสอบเท่านั้น ดังนั้น จึงอยากให้ทุกคนตระหนักในเรื่องนี้ เนื่องจากเป็นอำนาจที่เราถูกกดมาตลอดเวลา ดิฉันที่ยืนอยู่ตรงนี้ก็อาจถูกอำนาจนิยมในโรงเรียนกดขี่อยู่เช่นกัน ภายหลังจากลงโต๊ะนี้ไปแล้ว

ตัวแทนนักเรียนกล่าวว่า 2.เรื่องการเรียนในไทย พบว่าการศึกษาในประเทศไทยคือความเหลื่อมล้ำอย่างหาที่สุดมิได้ โดยที่เราอยู่กับความเคยชินมาตลอด ถามว่าทุกคนมีใครเรียนพิเศษ เข้าค่ายติวบ้าง เชื่อว่ามีหลายคน ณ ที่นี้ต้องเสียเงินเพิ่มเพื่อลงคอร์สเรียนพิเศษ

ทั้งที่จริงแล้วเราควรเรียนพิเศษเพื่อหาความรู้เพิ่ม ไม่ใช่เพื่อให้ได้มีชีวิตอยู่ต่อในสิ่งที่เรียกว่าระบบการศึกษาไทย สิ่งนี้ทำให้เรารู้ว่าการศึกษาในไทยห่วยแตกจนไม่สามารถทำให้บรรลุเป้าหมายของตนเองได้ หากใครไม่มีทั้งทุนทรัพย์ ไม่มีเวลา ต้องทำงานหาเงิน ไม่มีเวลาแม้แต่จะอ่านหนังสือ

ไม่มีเวลาลงคอร์สเรียน คนชายขอบถูกเตะออกไปจากระบบการศึกษาไทย ทั้งๆ ที่ควรเป็นสิทธิพื้นฐานที่เราควรได้รับทุกคน ขณะเดียวกัน เมื่อเรียนจบแล้วก็หวังจะมีงานทำ เพื่อจะได้มีเงินมาเลี้ยงชีพ เลี้ยงพ่อแม่ แต่กลับพบว่าเรียนจบมาแล้วต้องเจอปัญหาว่างงาน แบบนี้จะเรียนไปทำไม

“เรื่องว่างงานเป็นปัญหาที่เกิดมานาน ตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี 2475 ปัญหานี้ไม่เคยได้รับการแก้ไขเสียที เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ส่วนกลางจะต้องแก้ไข แต่ก็ยังไม่สามารถทำได้ ถ้ารัฐบาลไม่สามารถแก้ไขปัญหาอนาคตที่เราว่างงานได้ แล้วเราจะมีรัฐบาลชุดนี้ไว้ทำไม

อย่างไรก็ตาม ปัญหานี้ไม่ใช่เรื่องความพยายามของเรา มีคนเดินมาบอกเหมือนกันว่าที่คุณคิดถึงปัญหาการว่างงานในอนาคตของตัวเอง เพราะคุณพยายามไม่พอหรือไม่ ดิฉันตอบไปว่า คุณรู้ได้อย่างไรว่าพวกเราไม่พยายาม เราพยายามกันจะตายอยู่แล้ว แต่เพราะว่าเขาไม่เห็นหัวเราเลย

“เราไม่ควรจะเรียนสูงๆ แล้วจบไปเป็นคนว่างงาน เราควรมีอนาคตที่ดี ดังนั้น ดิฉันขอสรุปการปราศรัยในครั้งนี้ว่า อยากให้ทุกคนได้ตื่นรู้ว่าเรากำลังประสบปัญหาทางการเมืองโดยตรง ฟุตปาธทำให้เราล้มเป็นแผล สายไฟยังคงระโยงระยางลงมาจากข้างบน พร้อมจะลากคอเราตายได้ทุกเมื่อ เราไม่ควรต้องเจออะไรแบบนี้

ดังนั้น 14 ตุลาคมนี้ ที่ถนนราชดำเนิน จะต้องเปลี่ยนเป็นถนนราษฎรดำเนิน แล้วเราจะไปสร้างอนาคตใหม่เพื่อให้พวกเราได้มีอนาคตที่สดใสอย่างที่เราควรจะมี หากคุณบริหารไม่ได้ ไม่สามารถทำให้พวกเราพบความสุขได้อย่างแท้จริง คุณก็ลาออกไปเถอะค่ะ ดิฉันยืนพูดตรงนี้เพียงคนเดียวคือการกบฏ หากทุกท่านรวมใจกันเป็นพลังเปล่งเสียงไปพร้อมกัน นี่คือการปฏิรูป”


 

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน