“บิ๊กตู่”วอนหยุดเดาโผปรับครม. ชี้ไม่เกิดประโยชน์ บั่นทอนกำลังใจรมต. เพื่อไทยเชื่อปรับยังไงก็ไม่ช่วยให้ดีขึ้น สนช.ย้ำสูตรคำนวณส.ส.ยึดตามรัฐธรรมนูญ ให้ทุกคะแนนมีความหมาย “เพื่อไทย-ปชป.-ชทพ.”รุมค้าน จวกจงใจทำให้พรรคการเมืองเล็กลง ปูทางนายกฯคนนอก “นิพิฏฐ์”ฉะคิดแบบศรีธนญชัย รัฐบาลจากเลือกตั้งมีสิทธิ์ถูกยึดอำนาจซ้ำอีก กกต.ย้ำหากพรรคการเมืองไม่แจ้งเปลี่ยนแปลงสมาชิกตามกำหนด อาจสิ้นสภาพ มหาดไทยชงเลือกตั้ง “อบจ.”อันดับแรก รองโฆษกปชป.ไล่รัฐบาล หากแก้ปัญหาราคายางไม่ได้ ก็ลาออกไป
“บิ๊กตู่”วอนหยุดมโนจัดโผครม.
เมื่อวันที่ 18 พ.ย. พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ติดตามการเสนอข่าวปรับครม. ผ่านสื่อสารมวลชนแขนงต่างๆ โดยย้ำว่าเข้าใจการทำหน้าที่ของสื่อ แต่ไม่อยากให้นำเสนอหรือวิพากษ์วิจารณ์มากเกินไป เพราะการรายงานข่าวและแสดงความคิดเห็นในขณะนี้อยู่บนพื้นฐานของการคาดเดา ไม่เกิดประโยชน์และอาจบั่นทอนกำลังใจในการทำงาน รวมทั้งไม่เป็นผลดีต่อทั้งตัวรัฐมนตรี และภาพลักษณ์ของรัฐบาลโดยรวม
โฆษกรัฐบาลกล่าวว่า ทั้งนี้นายกฯยืนยันว่าพิจารณาคัดเลือกตัวบุคคลมาดำรงตำแหน่งในครม.ด้วยตัวเอง ยึดหลักความรู้ความสามารถ และความเหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน จึงขอให้สื่อและประชาชนติดตามประกาศอย่างเป็นทางการ เมื่อครม.ชุดใหม่เข้ารับหน้าที่แล้ว นายกฯจะเร่งรัดการทำงานด้วยความฉับไว รวดเร็ว เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพปัญหาของประเทศที่รออยู่อีกมาก
สนช.ยันมีแค่”บิ๊กช้าง”ยื่นลาออก
นายพีระศักดิ์ พอจิต รองประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) กล่าวว่า ถึงขณะนี้ยังไม่มีรายงานว่ามีสมาชิก สนช. ลาออกเพิ่มเติม เบื้องต้นยื่นหนังสือลาออกเพียงคนเดียวคือ พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล ส่วนตนไม่ลาออกแน่ๆ และสนช.เท่าที่เหลืออยู่มีจำนวน 248 คน สามารถทำงานได้ ไม่กระทบต่อการพิจารณากฎหมาย
นายพีระศักดิ์กล่าวถึงการพิจารณากฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. และร่างพ.ร.บ.ว่าด้วยการได้มาซึ่งส.ว.ว่า คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) กำหนดส่งให้สนช.ในวันที่ 28 พ.ย.นี้ และสนช.นัดพิจารณาวาระแรก วันที่ 30 พ.ย. โดยมีกรอบเวลาการพิจารณา 60 วัน
แนะกกต.อธิบายซ้ำวิธีคำนวณส.ส.
นายพีระศักดิ์กล่าวถึง กรธ.และคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) แจงวิธีการคำนวณหาส.ส.แบบบัญชีรายชื่อว่า คำนวณตามหลักเกณฑ์ที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ ซึ่งจะว่ายากก็ยาก จะว่าง่ายก็ง่าย หลักการคำนวณนี้เป็นวิธีใหม่ ไม่คุ้นเคย เพราะที่ผ่านมาการเลือก ส.ส.ก็เลือกในลักษณะชอบคนก็เลือกคน ชอบพรรคก็เลือกพรรค แต่การเลือกตั้งครั้งใหม่ เป็นการเปลี่ยนวิธีการเลือก ส.ส. คือเลือกเบอร์เดียวทั้งคนทั้งพรรค โดยเอาคะแนนที่ประชาชนเลือกไปรวมกันแล้วนำมาหารเพื่อคำนวณ ส.ส.ที่แต่ละพรรคจะได้ เช่น ถ้ามีคนมาเลือกตั้ง 10 ล้านคน มีส.ส. 500 คนแยก เป็น ส.ส.เขต 350 คน บัญชีรายชื่อ 150 คน หากพรรค ก.ได้คะแนนเสียง 2 ล้าน จะได้คะแนนเสียง 100 คน ซึ่งพรรคนั้นจะได้ ส.ส.100 คน ถ้าพรรค ข.มาเลือกตั้ง 6 ล้านก็ได้ ส.ส. 300 คน เป็นต้น
เมื่อถามว่าการวิธีคำนวณ ส.ส.ดังกล่าว จะทำให้ประชาชนเข้าใจยากหรือไม่ นาย พีระศักดิ์ กล่าวว่า การคำนวณ ส.ส.เป็นเรื่องของ กกต. ซึ่งต้องอธิบายให้ประชาชนรับทราบว่าคะแนนที่ลงเลือกตั้งนั้น จะนำไปคำนวณเพื่อให้ได้ส.ส.กี่คน ซึ่งกรธ.ต้องการ ให้ทุกคะแนนที่ประชาชนไปลงคะแนนมีความหมาย
พท.เย้ยปรับครม.แค่เล่นเก้าอี้ดนตรี
นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รักษาการรองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงการปรับครม.ประยุทธ์ 5 ว่า พรรคเพื่อไทยไม่ตื่นเต้น ไม่คาดหวัง ไม่ยึดติดกับตัวบุคคล เพราะรัฐบาลอาจปรับเพื่อแก้ปัญหาภายใน และไม่มั่นใจว่าปรับแล้วจะทำให้ผลงานของรัฐบาลดีขึ้นได้อย่างไร หรือจะเป็นเพียงสมบัติผลัดกันชม หรือเล่นเก้าอี้ดนตรี เพราะหากปรับครม.มีผลเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น คงเห็นผลตั้งแต่ปรับครั้งก่อน ทั้งนี้ มองว่าตราบใดที่นายกฯยังเป็นคนเดิมและนโยบายเดิม ประชาชนคงไม่คาดหวังอะไรนอกจากปัญหาด้านเศรษฐกิจ ที่รัฐบาลนี้แก้ไขไม่ได้
นายอนุสรณ์กล่าวว่า ส่วนที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ ระบุคนจนจะหมดไปในปี 2561 ไม่ทราบว่าพูดจากฐานข้อมูลอะไร ก่อนหน้านั้นรัฐบาลนี้เคยกล่าวหาว่าพรรค การเมืองที่มาจากการเลือกตั้งทำนโยบายประชานิยม รัฐบาลชุดนี้จะไม่ทำประชานิยมแบบนั้น ทำให้เกิดคำถามว่าสิ่งที่รัฐบาลทำอยู่ขณะนี้ต่างจากนโยบายประชานิยมตรงไหน ทั้งการบอกว่าคนจนจะหมดไป การเปิดลงทะเบียนคนจนเพื่อรับสวัสดิการผู้มีรายได้น้อย และในปี 2561 คนจนที่ยังไม่อยู่ในระบบ จะมาลงทะเบียนสมัครมากขึ้น สิ่งเหล่านี้แสดงว่ารัฐบาลพยายามเพิ่มสวัสดิการให้มากขึ้น เป็นการจูงใจประชาชนเช่นกัน
จี้รัฐบาลเปิดพื้นที่สิทธิเสรีภาพ
นายอนุสรณ์กล่าวว่า นอกจากนี้ยังมีเรื่องสิทธิเสรีภาพของประชาชน ที่น่าเป็นห่วงตั้งแต่วันแรกที่คสช.เข้ามา มีการเรียกบุคคลที่แสดงความคิดเห็น วิจารณ์รัฐบาลไปปรับทัศนคติ แม้แต่แกนนำยางพารา ที่ยื่นหนังสือเรียกร้องให้แก้ปัญหาราคายางตกต่ำ ก็ถูกนำตัวเข้าค่ายทหารในเวลากลางคืน จนองค์กรด้านสิทธิมนุษยชนสากล ประเมินไทยมีอันดับสิทธิเสรีภาพในเรื่องการแสดงความคิดเห็นต่ำกว่าประเทศเมียนมา ซึ่งปัญหาเรื่องสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชน เป็นสิ่งสำคัญที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ เป็นดัชนีชี้วัดความน่าเชื่อถือและการยอมรับของนักลงทุน พรรคเพื่อไทยขอเรียกร้องให้รัฐบาลเปิดพื้นที่สิทธิเสรีภาพ ทั้งการแสดงความคิดได้อย่างกว้างขวาง ให้สื่อได้แสดงความคิดเห็นตรงไปตรงมา และควรยุติการเรียกคนเข้าค่ายทหารแม้จะเรียกว่าปรับทัศนคติ แต่แท้จริงแล้วเป็นการข่มขู่คุกคามประชาชน
เย้ยไม่กล้าปรับรมต.ไร้ฝีมือ
ร.ท.หญิง สุณิสา เลิศภควัต อดีตรองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวกรณีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ระบุไม่อยากให้สื่อสนใจการปรับครม.ว่า การบริหารบ้านเมือง ไม่ใช่เรื่องส่วนตัวของ พล.อ.ประยุทธ์ และพรรคพวก แต่เป็นเรื่องผลประโยชน์ของส่วนรวม แม้ประชาชนส่วนใหญ่จะไม่ได้ตั้งความหวังว่าการปรับครม.ครั้งนี้ จะทำให้บ้านเมืองดีขึ้น แต่ประชาชนและสื่อมีสิทธิทักท้วงและตรวจสอบการใช้อำนาจของพล.อ.ประยุทธ์ ว่าจะกล้าตัดพรรคพวกที่ไร้ฝีมือบริหารและมีปัญหาการจัดซื้อจัดจ้างที่ไม่โปร่งใสออกไปจากครม.หรือไม่
“พล.อ.ประยุทธ์ อย่าพูดว่ายึดหลักความรู้ความสามารถในการปรับ ครม. เพราะทุกคนเห็นอยู่แล้วว่าพล.อ.ประยุทธ์ คงให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ส่วนตัวมากกว่าผลประโยชน์ของประเทศ จึงไม่กล้าปรับรัฐมนตรีที่เป็นปัญหาสำคัญออกไป เพราะเคยร่วมยึดอำนาจด้วยกันมาและยังต้องช่วยกันสืบทอดอำนาจต่อไป”
เหน็บครม.ตู่ 5 มีแต่พวกพ้อง
นายชูศักดิ์ ศิรินิล ประธานคณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงข่าวการปรับครม.ประยุทธ์ 5 ว่า ข้อจำกัดของรัฐบาลชุดนี้คือการพิจารณาบุคคลที่มาจากข้าราช การประจำเก่าๆ บุคคลที่มีคอนเน็กชั่นรุ่นจากโครงการฝึกอบรมรุ่นนั้นรุ่นนี้เป็นหลัก โดยปฏิเสธบุคคลจากซีกการเมืองหรือที่มีคอนเน็กชั่นกับการเมือง เพราะปฏิเสธและโจมตีคนเหล่านี้มาตั้งแต่ต้น การเมืองแบบนี้คือการเมืองที่มีแนวคิดแบบระบบราชการ ทำตามสั่งทุกคนต้องอยู่ในแถว นอกแถวหรือคิดอย่างอื่นไม่ได้ จึงเห็นว่าที่ผ่านมามีรัฐมนตรีที่โลกลืม ดังนั้น เราไม่คิดหวังอะไรจากการปรับครม.ครั้งนี้ เพราะเห็นว่าไม่เกิดประโยชน์ และไม่ทำให้สถานการณ์อะไรดีขึ้น
ซัดจ้องลดเก้าอี้ส.ส.พรรคใหญ่
นายชูศักดิ์กล่าวถึงหลักเกณฑ์การคำนวณการประกาศผลการเลือกตั้งส.ส. ของกรธ. และกกต. ว่า เรื่องการคิดคำนวณจำนวน ส.ส.ของ กรธ.และกกต. ถูกวิพากษ์วิจารณ์มาตั้งแต่เริ่มร่างรัฐธรรมนูญแล้ว ว่าระบบจัดสรรปันส่วนผสม เพื่อทำให้จำนวนส.ส. ของพรรคใหญ่ลดลง จะได้สัดส่วนปาร์ตี้ลิสต์น้อยลง ไม่แปลกใจในการคิดคำนวณที่ปรากฏ ระบบนี้ถูกคิดขึ้นมาโดยมีเป้าหมายทางการเมือง และนำสูตรอย่างอื่นบวกเข้ามาอีก เช่น นายกฯ ไม่จำเป็นต้องเป็นส.ส. ให้ส.ว.แต่งตั้งร่วมเลือกนายกฯ จึงคิดว่าเขาสร้างกฎหมายขึ้นเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของการรัฐประหารและต้องการสืบทอดกันต่อไป ทั้งนี้ ตนไม่คิดว่าแผนการดังกล่าวจะสำเร็จได้ง่ายๆ เหมือนโรยด้วยกลีบกุหลาบ และมองว่าจิตสำนึกความรับผิดชอบกับระบอบประชาธิปไตยของพรรคการเมืองทั้งหลาย เป็นเรื่องสำคัญสำหรับอนาคตของประเทศไทย
ลั่นมีวิธีแก้เกม-อาจทะลุ 250 ที่นั่ง
เมื่อถามว่าการคำนวณจำนวน ส.ส.แบบนี้ จะกระทบกับพรรคเพื่อไทยมากหรือน้อยกว่าการคำนวณแบบเดิมหรือไม่ นายชูศักดิ์กล่าวว่า เราคาดการณ์กันมาแล้วว่ากระทบกับพรรคเรา แต่ก็มิได้หมายความว่าเราจะยอมจำนนต่อสภาพดังกล่าว
ต่อข้อถามว่ามั่นใจว่าพรรคเพื่อไทยจะได้เสียงถึง 250 ที่นั่งหรือไม่ นายชูศักดิ์กล่าวว่า ไม่แน่เราอาจจะทะลุไปถึง 250 ที่นั่งก็ได้ แต่เราคงไม่บอกว่าทำอย่างไร
ข้องใจวิธีคำนวณส.ส.
นายนพดล ปัทมะ แกนนำพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ถึงวิธีคำนวณหาส.ส.ของกรธ. และกกต. ที่หากส.ส.เขตเต็มเพดานก็ไม่มีสิทธิได้ส.ส.บัญชีรายชื่อว่า การเลือกตั้งคือการสะท้อนการตัดสินใจของประชาชน ถ้าประชาชนต้องการสนับสนุนพรรคใดให้ได้คะแนนเสียงเท่าใดก็ควรสะท้อนกับจำนวนที่นั่งที่แต่ละพรรคควรจะได้ ฉะนั้นการเลือกตั้งแบบใหม่ สมมติว่าประชาชน 80 เปอร์เซ็นต์ สนับสนุนพรรคหนึ่ง ก็จะได้ที่นั่งเพียง 350 คนจาก 500 คน เท่ากับจะได้ 70 เปอร์เซ็นต์ของที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งที่นั่งของส.ส.ควรจะได้ 400 ที่นั่ง ผลที่ตามมาทำให้ที่นั่งส.ส.ลดลง ต้องถามกรธ.ว่าระบบนี้สะท้อนเจตจำนงของประชาชนหรือไม่ มีเหตุมีผลหรือไม่ และเป็นธรรมแล้วหรือไม่
นายนพดลกล่าวว่า เรื่องนี้เป็นประเด็นที่น่าสนใจและคงนำมาพูดคุยกันต่อไป ต้องยอมรับว่าระบบใหม่ทำให้ส.ส.บัญชีรายชื่อแต่ละพรรคได้จำนวนน้อยลง เมื่อก่อนส.ส. บัญชีรายชื่อที่อยู่ลำดับที่ 1-30 คน อาจได้เป็นส.ส. แต่ระบบใหม่ไม่แน่เพราะถ้าได้จำนวน ส.ส.เขตมาก ส.ส.บัญชีรายชื่อก็จะลดน้อยลง
จวกเลือกท้องถิ่นยื้อเวลาระดับชาติ
นายนพดลกล่าวว่า ส่วนที่รัฐบาลจะให้มีการเลือกตั้งท้องถิ่นก่อนเลือกตั้งระดับประเทศนั้น มองได้หลายแง่ว่ารัฐบาลอาจจะชิมลางก่อนว่าการจัดการเลือกตั้งท้องถิ่นเป็นอย่างไร แต่ขอตั้งข้อสังเกตว่าใครจะดูแลจัดการเลือกตั้งท้องถิ่นครั้งนี้ จะให้กกต.หรือหน่วยงานอื่น การเลือกตั้งท้องถิ่นจะเป็นไปโดยสุจริตเที่ยงธรรมหรือไม่ ขอให้รัฐบาลและคสช.วางตัวเป็นกลาง ให้ประชาชนและผู้สมัครได้หาเสียง เสนอแนวคิดอย่างเสรีและเป็นธรรม ไม่ควรสนับสนุนผู้สมัครพรรคหนึ่งพรรคใดในช่วงที่ยังเป็นรัฐบาลอยู่ และขอให้ระวังการใช้มาตรา 44 ในช่วงเลือกตั้ง ต้องไม่ย้ายข้าราชการประจำ ไม่ริเริ่มนโยบายหรือจัดสรรงบประมาณที่มีนัยสำคัญเพื่อเอื้อให้ฝ่ายใด ทั้งนี้ ตนไม่อยากกล่าวหารัฐบาลว่าการให้มีการเลือกตั้งท้องถิ่นและการแก้ไขกฎหมายหลายฉบับ เป็นการยื้อเวลาเลือกตั้งระดับชาติ ซึ่งเรื่องนี้รัฐบาลต้องพิสูจน์และทำให้เห็นว่าไม่เป็นไปตามคำพูดเช่นนั้น
นปช.เชื่อหวังเช็กเสียงหนุนพท.
นพ.เหวง โตจิราการ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวถึงการเตรียมแก้กฎหมายเพื่อปลดล็อกให้มีการเลือกตั้งท้องถิ่น ซึ่งมีข้อสังเกตว่าอาจเป็นการปูทางให้องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น(อปท.) เป็นฐานทางการเมืองในการเลือกตั้งระดับชาติให้กับคสช.ว่า คิดว่าคสช.ต้องการอยู่ในอำนาจต่อ และหวังเช็กความนิยมของพรรคเพื่อไทยและกลุ่มคนเสื้อแดง ว่าลดลงหรือยังมีอยู่มากน้อยแค่ไหน ซึ่งวิธีเช่นนี้แสดงว่าทีมงานของ คสช.ฉลาดที่จะวางแนวทางโดยไม่บุ่มบ่าม ไม่ได้ทำไปเพื่อประโยชน์ของประเทศ แต่เพื่อสืบทอดอำนาจรัฐประหาร เพราะจากคะแนนนิยมของซูเปอร์โพล ระบุว่าคะแนนนิยมของคสช.ลดลง และการทำงานช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ยังไม่บรรลุจุด มุ่งหมาย จึงต้องโยนหินถามทางเพื่อยืดเวลาออกไปเรื่อยๆ ฉะนั้น การเรียกร้องให้ปลดล็อกในระดับชาติ ให้พรรคทำกิจกรรมได้นั้น คงต้องรอไปก่อนหรืออาจเป็นช่วงเวลาที่จวนเจียนกับการเลือกตั้งก็เป็นได้
มท.ชงชิมลางเลือกตั้งอบจ.
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น(สถ.) กระทรวงมหาด ไทย กล่าวถึงการเลือกตั้งท้องถิ่นว่า ยืนยันว่ารัฐบาลมีเจตนาที่จะเลือกตั้งท้องถิ่นโดยเร็ว และจากการประชุมกับนายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ เมื่อวันที่ 16 พ.ย.ที่ผ่านมา คาดว่าจะมีการแก้ไขกฎหมาย 6 ฉบับ ในเรื่องคุณสมบัติของผู้สมัครให้สอดคล้องกับบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ มาตรา 252 วรรคสอง วรรคสาม ทั้งนี้ การเลือกตั้งน่าจะไม่เลือกทุกประเภทพร้อมกัน โดยกระทรวงมหาดไทยเสนอให้เลือกตั้งองค์การบริหารส่วนจังหวัด(อบจ.)ก่อน
กกต.ย้ำยื่นศาลปมเลือกท้องถิ่น
นายสมชัย ศรีสุทธิยากร กกต.กล่าวถึงความคืบหน้าการยื่นศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยกกต. ในประเด็นอำนาจการจัดการเลือกตั้งท้องถิ่นว่า ขณะนี้ทุกฝ่ายพูดเหมือนกันหมดว่า กกต.มีอำนาจทำอะไรก็ได้ จัดการก็ได้ ดำเนินการให้มีก็ได้ แต่ปัญหาคือกฎหมายลูกไม่ได้เขียนแบบนี้ แม้ทุกฝ่ายจะพูดตรงกัน แต่ถ้าถึงเวลาแล้ว กกต.ไปจัดการเลือกตั้งท้องถิ่นเองในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง อาจมีมือดีไปร้องศาลได้ว่ากกต.ทำผิดกฎหมายลูก ดังนั้น เพื่อความชัดเจนและไม่เป็นปัญหาต่อการปฏิบัติในอนาคต กกต.จะยื่นศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อให้เกิดความชัดเจนว่ากกต.สามารถจัดการและดำเนินการให้มี และถ้าเป็นไปได้ก็อยากขอให้เขียนกฎหมายให้ชัดว่าเราทำได้ทั้งสองอย่าง คาดว่ากกต.จะยื่นศาลรัฐธรรมนูญภายในเดือนพ.ย.นี้
ชี้ถ้าแก้กม.อาจได้เลือกตั้งส.ส.ก่อน
นายสมชัยกล่าวถึงกรณีนายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ระบุอาจต้องแก้ไขกฎหมาย 6 ฉบับ ก่อนมีการเลือกตั้งท้องถิ่นว่า ถ้าเป็นเช่นนี้ ตนคาดการณ์ว่าการเลือกตั้งท้องถิ่นอาจจะเกิดขึ้นหลังการเลือกตั้งส.ส. โดยดูจากคิวการพิจารณากฎหมายของสนช. ซึ่งร่างพ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งส.ว. และร่างพ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. จะเข้าสู่การพิจารณาของสนช.ในปลายเดือนนี้แล้ว และสนช.ต้องพิจารณาให้เสร็จภายใน 60 วันตามที่กฎหมายกำหนด แต่กฎหมายท้องถิ่น นายวิษณุระบุเองว่าปีนี้อาจไม่เสร็จแน่นอน เท่ากับว่าอาจเสนอประมาณต้นปีหน้า เมื่อเสนอเข้าต้นปีหน้า คิวที่จะแก้ไขกฎหมายให้เสร็จ ก็ต้องเกิดขึ้นหลังกฎหมายเลือกตั้งส.ส.และกฎหมายส.ว. แน่นอน
“ถ้ากฎหมายเลือกตั้งส.ส.และส.ว. ประกาศราชกิจจานุเบกษา จะเริ่มนับหนึ่งการเลือกตั้งทันที ดังนั้น มีความเป็นไปได้ว่าด้วยข้อจำกัดในการแก้กฎหมาย การเลือกตั้งท้องถิ่นจะเกิดขึ้นหลังการเลือกตั้งส.ส. แต่ขึ้นอยู่กับสนช.ว่าจะพิจารณาได้เร็วหรือไม่ ถ้าพิจารณาได้เร็ว อาจดำเนินการได้ก่อนการเลือกตั้งส.ส.ก็ได้” นายสมชัยกล่าว
โบ้ยกรธ.เสนอแก้พรบ.พรรค
เมื่อถามถึงกรณีกกต.ตอบข้อหารือของพรรคการเมือง โดยยืนยันว่าการปฏิบัติตามมาตรา 141 ของพ.ร.บ.ว่าด้วยพรรคการเมือง ขณะนี้ยังทำไม่ได้เนื่องจากเข้าข่ายต้องห้ามตามคำสั่งคสช. นายสมชัยกล่าวว่า ต้องยึดถือคำตอบที่เป็นทางการจากนายทะเบียนพรรค การเมืองเป็นหลัก เมื่อนายทะเบียนฯให้คำตอบแบบนี้เท่ากับไม่สามารถทำได้ และตราบใดที่ยังไม่มีการแก้ไขกฎหมาย กกต.ต้องทำตามกฎหมาย คือเมื่อครบเวลา 90 วันแล้ว พรรคใดไม่แจ้งการเปลี่ยนแปลงสมาชิกหรือยื่นขอขยายเวลา กกต.ต้องยื่นศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยให้พรรคนั้นสิ้นสภาพไป
นายสมชัยกล่าวว่า หากจะแก้ไขกฎหมายก็ต้องแก้ไขให้เสร็จสิ้นก่อนวันที่ 5 ม.ค.2561 ซึ่งคงเป็นไปได้ยาก เพราะหากให้กกต.เป็นฝ่ายเสนอแก้ไขกฎหมาย เราคิดว่าไม่มีความเข้าใจในรายละเอียดที่เชื่อมโยงมาตราต่างๆ ได้ดีเท่ากรธ. เกรงว่าหากเสนอไปแล้ว อาจทำให้กฎหมายที่แก้ไขไปนั้นขาดความรอบคอบได้ หากจะมีการแก้ไขกฎหมายก็อยากให้กรธ.เป็นฝ่ายเสนอรัฐบาล แต่ถ้าไม่แก้ไข กกต.ต้องทำตามกฎหมาย ถึงเวลาพรรคใดไม่แจ้งการเปลี่ยนแปลงสมาชิกพรรคหรือยื่นขอขยายเวลา เราก็ต้องสั่งให้พรรคนั้นสิ้นสภาพไป
ปชป.ไม่กังวลวิธีคำนวณส.ส.
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงวิธีการคำนวณส.ส.บัญชีรายชื่อว่า ไม่ได้ยุ่งยาก เมื่อกฎหมายออกมาบังคับใช้ เราก็ต้องปฏิบัติตามนั้น พรรค การเมืองต้องศึกษารายละเอียดการคำนวณคะแนนตามที่กกต.และกรธ.สาธิตให้ดู เพื่อนำไปปฏิบัติในการเลือกตั้ง ซึ่งการคำนวณแบบนี้ เราไม่กังวลว่าจะทำให้พรรคได้ส.ส.น้อย หรือไม่ เพราะขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของประชาชน พรรคมีหน้าที่เสนอนโยบายที่เป็นประโยชน์ แก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนได้ มีหน้าที่สรรหาบุคคลที่เหมาะสมผ่านกระบวนการไพรมารี่โหวตมาให้ประชาชนเลือก ตรงนี้ถือเป็นหัวใจสำคัญ ดังนั้น การจะได้ส.ส.มากหรือน้อย อยู่ที่ประชาชนจะมอบความไว้วางใจให้
นายองอาจกล่าวถึงกกต.ตอบกลับพรรคการเมืองไม่สามารถทำกิจกรรมได้เพราะติดคำสั่งคสช.ว่า อยากให้คสช.พิจารณา ซึ่งจากคำชี้แจงของกกต. จะเห็นได้ว่าคำสั่งคสช.ยังเป็นอุปสรรคที่พรรคจะปฏิบัติตามกฎหมายพรรคการเมือง แต่ตนยังเชื่อมั่นว่า คสช.และนายกฯเข้าใจปัญหาและอุปสรรคนี้ เชื่อว่าคสช.ต้องหาทางคลี่คลายอุปสรรคต่างๆ เพื่อให้พรรคสามารถทำงานได้สอดคล้องกับกฎหมายพรรคการเมือง โดยเฉพาะประเด็นเรื่องกรอบเวลา ทั้งนี้ กฎหมายก็เปิดช่องให้ขยายเวลาได้ถ้าจำเป็น เราคงอาศัยช่องทางนี้ ซึ่งต้องดูระเบียบของกกต.ว่าจะออกมาอย่างไร
นิพิฏฐ์ฉะคิดแบบศรีธนญชัย
นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรธ. และกกต. แถลงวิธีการคิดคะแนนส.ส.แบบจัดสรรปันส่วนผสมว่า ตนเคยบอกแล้วว่าระบบนี้ไม่ทำให้พรรคไหนได้เสียงเกินครึ่งหนึ่ง หรือแบบถล่มทลาย การปัดเศษคะแนนแบบที่ผู้ร่างคิด จะทำให้เกิดการคิดแบบศรีธนญชัย เชื่อว่ามีบางพรรค คิดวิธีรับมือไว้แล้ว โดยจะแตกย่อยพรรคแม่ พรรคลูก แยกกันเดินแยกกันตี แล้วไปรวมเสียงจัดตั้งรัฐบาลภายหลัง ถ้าพรรคใหญ่บางพรรคกล้าทำแล้วเกิดผลที่ว่าจริง เขาจะได้เสียงเกิน 250 เสียงแน่นอน เช่น อาจจะได้ 270 เสียง แต่ยังไม่เพียงพอต่อการจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างมากในสภาเพียงพรรคเดียว เพราะนายกฯ ต้องได้รับเสียงสนับสนุนจากสมาชิกรัฐสภา 375 เสียง ปัญหาคือจะเกิดฝ่ายค้านที่มีเสียงมากกว่ารัฐบาล แบบนี้มันดูกลับตาลปัตร
นายนิพิฏฐ์กล่าว เชื่อว่า พรรคใหญ่เขาไม่หวังเป็นนายกฯแล้ว เพราะไม่ว่าใครก็เป็นรัฐบาลไม่ได้ แค่ไม่เกิน 3-4 เดือน หลังจากรัฐบาลใหม่ที่มีเสียงข้างน้อยเข้ามาแล้วเสนอกฎหมายงบประมาณเข้าสภา จะถูกฝ่ายค้านเสียงมากกว่าคว่ำกฎหมาย ถ้ากฎหมายงบถูกคว่ำ รัฐบาลต้องยุบสภา หรือลาออก ปัญหาหลังเลือกตั้ง จึงไม่ใช่การหานายกฯ ไม่ได้ แต่คือรัฐบาลเสียงข้างน้อยที่ไม่มีเสถียรภาพ หรือความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ต่างชาติไม่เชื่อมั่น ไม่มีใครลงทุน หรือคบค้าด้วย
เชื่อรัฐบาลใหม่โดนยึดอำนาจอีก
“ตามที่ผมเคยฟันธงไว้ว่า อาจต้องมีการยึดอำนาจอีก ถ้าเป็นปัญหาแบบที่ผมว่า จะไปต่อไม่ได้ ต้องโทษคนออกแบบกฎหมายแบบนี้ ที่ให้รัฐบาลมาจากการเลือกตั้งอยู่ไม่ได้ ปัจจัยที่จะทำให้เกิดวิกฤตอีกอย่างคือ ส.ว. 250 คนที่คสช.แต่งตั้ง จะยอมเลือกรายชื่อนายกฯ ที่ถูกเสนอชื่อรอบแรกจากส.ส. หรือไม่ ถ้าไม่เลือก ก็แสดงว่าส.ว.จะไปเลือกคนที่มาจากเสียงข้างน้อยในสภา ถ้าส.ว.เขาไม่เลือก ก็เกิดวิกฤตอยู่แล้ว จากนั้นความชอบธรรมของการยึดอำนาจมันก็มี คนจะรังเกียจนักการเมืองอีก ทะเลาะกันอีกแล้วหรือประชาชนจะด่าว่า เลือกตั้งมา 3-4 เดือน ยุบแล้วอีกแล้ว นักการเมือง เป็นตัวปัญหาทำให้เกิดการยึดอำนาจอีกแล้ว แต่หารู้ไม่ว่าคนวางระบบ ได้วางกับดักไว้อย่างนี้” นายนิพิฏฐ์กล่าว
ชทพ.เหน็บเปิดทางนายกฯคนนอก
นายนิกร จำนง ผู้อำนวยการพรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวถึงวิธีการคิดคำนวนส.ส.แบบจัดสรรปันส่วนผสมว่า เป็นระบบที่ประเทศ ไทยใช้แห่งเดียวในโลก ถือเป็นเรื่องใหม่มากที่นักวิชาการทางการเมืองคิดขึ้นมา โดยมองว่าที่ผ่านมาการเมืองเสียดุลยภาพ เพราะมีพรรคใหญ่ได้รับเสียง ส.ส.เกินครึ่งไปมาก จึงเป็นเหตุให้เกิดความขัดแย้งที่รุนแรง นำไปสู่การยึดอำนาจ ซึ่งแนวคิดนี้สอดคล้องกับฝ่ายที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งด้วย จึงทำให้ระบบเลือกตั้งแบบจัดสรรปันส่วนผสมเกิดขึ้นเพื่อทำให้พรรคเล็กลง โดยพรรคใหญ่พรรคเดียวมีโอกาสน้อยมากที่จะได้เสียงเกินครึ่ง
นายนิกรกล่าวว่า ดังนั้น การเมืองหลังการเลือกตั้ง เสียงส.ส.จากพรรคต่างๆ จะไม่สามารถโหวตเลือกนายกฯ ที่เป็นส.ส.ได้ ยกเว้นพรรคที่ขัดแย้งกันจะรวมกันได้ ซึ่งแทบจะเป็นไปไม่ได้อีก นั่นหมายถึงการเปิดทางให้คนนอกที่ไม่ได้เป็นส.ส. เข้ามาเป็นนายกฯตามที่บทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญ เปิดช่องไว้
“คำถามคือโจทย์ที่ต้องการจะสร้างดุลยภาพแก้ความขัดแย้งนั้นจะแก้ได้บ้างหรือไม่ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นแน่ๆ คือรัฐบาลอ่อนแอไร้เสถียรภาพ ถามว่าหากใช้ไปแล้วเกิดปัญหามาก แล้วจะแก้ไขในอนาคตได้หรือไม่ ตอบเลยว่าแก้ไขไม่ได้ เพราะระบบนี้ถูกผูกเงื่อนตายไว้ในรัฐธรรมนูญแล้ว กฎหมายลูกว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.เป็นเพียงการเขียนขึ้นตามรัฐธรรมนูญเท่านั้น ซึ่งการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้แทบทำจะไม่ได้ เพราะมีค่ายกลเจ็ดดาวล็อกอยู่อย่างแน่นหนาตามที่ได้เคยอภิปรายไว้” นายนิกรกล่าว
จี้คสช.หาทางปลดล็อก
นายราเมศ รัตนะเชวง รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงว่า หลังจากพ.ร.บ.ว่าด้วยพรรคการเมือง ประกาศใช้บังคับ ถึงวันนี้ 40 กว่าวันแล้วแต่พรรคยังไม่ได้ดำเนินการตามที่กฎหมายกำหนด ขอย้ำว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้เรียกร้องให้ คสช. ปลดล็อก แต่ต้องมีคำตอบให้พรรคว่าจะดำเนินการตามมาตรา 141 ได้อย่างไร และการจัดทำข้อบังคับพรรคจะใช้คน 1-2 คนร่าง หรือร่างคนเดียวแล้วให้สมาชิกพรรครับรอง คงเป็นไปไม่ได้ เพราะต้องให้สมาชิกแต่ละคนได้แสดงความเห็นว่าข้อบังคับพรรคต่อจากนี้จะร่างออกมาเป็นแบบไหน
นายราเมศกล่าวว่า ส่วนที่กกต.ตอบ ข้อหารือเรื่องการปฏิบัติตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยพรรคการเมือง ว่ากกต.ไม่สามารถให้พรรคปฏิบัติตามมาตรา 141 ได้เพราะมีคำสั่งห้ามของคสช. อยู่นั้น เมื่อกกต.วินิจฉัยเป็นแบบนี้ คสช.จะต้องหาคำตอบให้ได้ว่าจะให้พรรค ได้ปฏิบัติตาม พ.ร.บ.นี้อย่างไร หาก คสช.มีความจริงใจในการส่งต่อประเทศไปสู่ระบอบประชาธิปไตยแล้ว คสช.ควรส่งเสริม ให้พรรคการเมืองได้ปฏิบัติตามที่กฎหมายกำหนดไว้
ไล่”บิ๊กตู่”แก้ยางไม่ได้ก็ออกไป
นายราเมศกล่าวถึงนายกฯ ระบุถึงปัญหายางพารา หากประชาชนเดือดร้อนให้ยื่นหนังสือด้วยความสงบ ไม่อยากให้เป็นเรื่องการเมืองว่า นายกฯต้องแยกแยะว่า ความเดือดร้อนของประชาชนกับเรื่องการเมือง แตกต่างกันอย่างไร ที่บอกให้มายื่นหนังสือด้วยความสงบแล้วจะดูให้ทุกเรื่อง ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นตัวแทนยื่นหนังสือให้นายกฯ กี่รอบแล้ว ขอถามว่ามีการแก้ไขหรือปรับปรุงเรื่องใดบ้าง ดังนั้น นายกฯ ควรรับฟังประชาชนที่เดือดร้อนจากราคายางพารา อย่าทำกับประชาชนเหมือนที่ทำมาเมื่อไม่กี่วัน สั่งทหารเรียกประชาชนเข้าค่ายทหาร ซึ่งไม่ใช่วิธียับยั้งความทุกข์ร้อนของประชาชน และวิธีเช่น นั้นประชาชนในพื้นที่รับไม่ได้ เพราะหากชาวสวนยางไม่เดือดร้อนก็คงไม่ทำอย่างนี้
“ถ้าจะจับแกนนำหรือเรียกแกนนำเข้าค่ายทหาร กรุณานำตัวผมให้ไปอยู่เคียงข้างกับประชาชนด้วย อำนาจทหารไม่ได้ยิ่งใหญ่ไปกว่าอำนาจประชาชน ถ้าเราไม่อยู่เคียงข้างประชาชน เคียงข้างปัญหาของประชาชน ก็อย่ามาบริหารประเทศเลย ลาออกไป พี่น้องชาวปักษ์ใต้เจ็บช้ำน้ำใจกับเรื่องละเอียดอ่อนที่มีการเรียกแกนนำเข้าไปในค่ายทหารเป็นอย่างมาก ผมอยากเรียกร้องให้รัฐบาลรับฟังปัญหา แล้วหาทางออก แก้ปัญหาให้กับประชาชนด้วยความจริงใจ” นายราเมศกล่าว
ขู่ดำเนินคดีคนปล่อยคลิปเสียง”มาร์ค”
นายราเมศกล่าวถึงกรณีมีการเผยแพร่คลิปเสียงของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค สมัยเป็นนายกฯ สั่งให้สลายการชุมนุม ปี 2552 ในโลกออนไลน์ว่า เป็นการตัดต่ออย่างชัดเจน จากการตรวจสอบยืนยันว่าเป็นการนำเสียงของนายอภิสิทธิ์ ที่ออกรายการ “เชื่อมั่นประเทศ ไทยกับนายกฯอภิสิทธิ์” และเสียงที่พูดในโอกาสต่างๆ มาตัดต่อรวมกัน เพื่อให้เกิดถ้อยคำข้อความตามวัตถุประสงค์ของคนที่ต้องการใส่ร้าย และยังส่งต่อข้อความในสังคมออนไลน์ว่านายกลิน เดวีส์ เอกอัครราชทูตสหรัฐประจำประเทศ ไทย มีจดหมายเปิดผนึกถึงนายอภิสิทธิ์ โดยมีเนื้อหารุนแรงมาก ซึ่งไม่เป็นความจริง โดยมีบุคคลบางกลุ่มต้องการทำให้ประชาชนเข้าใจผิด ยืนยันว่านายกลิน เดวีส์ ไม่ได้ส่งจดหมายเปิดผนึกถึงนายอภิสิทธิ์ ถือเป็นการแอบอ้าง
“กระบวนการต่อจากนี้ ฝ่ายกฎหมายของพรรคจะรวบรวมข้อมูลทั้งหมด หากพบว่า มีบุคคลใดเผยแพร่คลิปอันเป็นเท็จ และส่งข้อมูลเหล่านี้ จะดำเนินการตามกฎหมายอย่างจริงจังทันที เพราะถือเป็นการทำลายพรรค ประชาธิปัตย์ เพื่อหวังใส่ร้ายทางการเมือง และขอเรียกร้องรัฐบาลว่าควรจะจริงจังใน การปราบปรามเรื่องการใส่ร้ายผ่านสังคมอินเตอร์เน็ต ไม่ใช่ปล่อยให้ประชาชนผู้เสียหายแจ้งความเอาผิดเองแล้วเรื่องก็เงียบหายไป”นายราเมศกล่าว