วันที่ 4 ธ.ค. รายการดีเบตทางช่อง 3 ติดตามประเด็นร้อน หลังจากชาวเน็ตออกมาแฉกลยุทธ์โชว์รวย เพื่อหลอกเหยื่อมาร่วมทำธุรกิจขายฝันเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ช่วยทำให้ผิวขาวแบรนด์ดัง จนสุดท้ายสูญเงินกันไปตั้งแต่หลักหมื่นจนถึงแสนบาท

ซึ่งพฤติการณ์นั้นจะมีคนเข้ามาชักชวนขายสินค้าโดยบอกว่าได้เงินสัปดาห์ละ 4500-6000 บาท ซึ่งการทำงาน คือให้ขายสินค้า และบอกว่าถ้าขายไม่ได้จะมีวิธีขายให้หรือจะส่งลูกค้ามาให้ รวมทั้งมีรถหรูมาอวด เพื่อโน้มน้าวให้ผู้เสียหายร่วมทำธุรกิจ

 

ภาษิต อภิญญาวาท ผู้ดำเนินรายการ ได้คุยกับคุณนิตยา ติธรรม (หยุมหยิม) ผู้เคยร่วมทำธุรกิจดังกล่าว และประสบความสำเร็จได้กำไรจากธุรกิจนี้ และ คุณเอ (นามสมมติ) ผู้เสียหาย

คุณหยุมหยิม เผยว่าตนเคยทำธุรกิจประเภทนี้มาก่อน และประสบความสำเร็จได้กำไรมา แต่ที่ออกจากวงการนี้เพราะรู้สึกว่าต้องหลอกคนอื่นไปเรื่อยๆ จุดเริ่มต้นคือมีคนส่งข้อความมาว่าสนใจทำธุรกิจไหม เพราะเห็นว่าตนเป็นแม่ค้าออนไลน์น่าจะของขายเป็น ตนเลยเข้าไปดูที่หน้าแฟนเพจเห็นว่ามีการโปรโมทโปรโมชั่นต่างๆ ซึ่งถ้าทำยอดตามเป้าได้ก็จะได้รับโปรโมชั่นนั้นๆ ก็คิดว่าน่าเชื่อถือได้ เลยร่วมลงทุนไป 35,500 บาท แล้วเขาก็บอกเทคนิคในการหาเครือข่าย คือต้องส่งข้อความไปหาเพื่อนในเฟซบุ๊กส์ทุกวัน วันละ 100 คน ซึ่งเขาจะมีข้อความมาให้เรา ว่าต้องพิมพ์แบบไหนส่งให้คนอื่น ซึ่งเราก็ไม่ได้ทำตาม แต่เราโทรหาเพื่อนประมาณ 2-3 คน เพื่อให้เขาปิดการขายให้ และก็สามารถปิดยอดได้ เงินที่เราได้จะมาจากการหาสมาชิก โดยจะหักเปอร์เซ็นต์ของสมาชิกเรา และสมาชิกเราก็ต้องหาเครือข่ายมาลงทุนเพิ่มเรื่อยๆ สาเหตุที่ต้องลงทุน 35,500 เพราะถ้าเรายิ่งลทุนเยอะ ก็จะมีโอกาสได้เงินทั้งหมดกลับคืนมา

คุณหยุมหยิมยังบอกอีกว่า สาเหตุที่ตัดสินใจไม่ทำต่อเพราะ ได้เห็นรูปแบบการทำงานของธุรกิจนี้ ตนคิดว่าไม่ถูกต้อง บางคนขโมยสร้อยทองของครอบครัวมาขาย เขาก็ไม่ห้ามแต่กลับสนับสนุน

 

ขณะที่คุณเอ ผู้เสียหายเล่าว่า ในส่วนของตนนั้นถูกชักชวนในรูปแบบเดียวกันเหมือนคุณหยุมหยิม ที่เข้าไปร่วมทำธุรกิจนี้เพราะเห็นว่าได้เงินง่าย อยากมีรายได้เพื่อนำเงินมาเป็นทุนในการศึกษา เพราะตนอยู่ในวัยเรียน วันแรกที่เข้าไปประชุม เขาให้ปิดเครื่องมือสื่อสารทุกอย่าง และมีคนที่ทำแล้วประสบความสำเร็จเข้ามาพูดโน้มน้าว ว่าถ้าเราทำธุรกิจนี้ เราก็จะรวยแบบเขา ทำให้ตนเริ่มสนใจ จึงจ่ายเงินไป 7,600 บาท เพื่อร่วมทำธุรกิจ ต่อมาเขาให้ล่ารายชื่อ และเบอร์โทรศัพท์ของคนรู้จัก ซึ่งตนหามาได้ประมาณ 50 รายชื่อ และเขาก็ให้โทรแนะนำธุรกิจ ซึ่งตนไม่อยากทำ เพราะตนคิดว่าเหมือนเป็นการหลอกคนอื่นอีกทอด แต่สุดท้ายก็มีผู้ชายคนหนึ่งสนใจ แล้วทางทีมงานเขาก็ช่วยปิดการขาย แต่ตนสำนึกผิดจึงโทรไปบอกผู้ชายคนดังกล่าวว่าไม่ต้องมาประชุม เพราะธุรกิจนี้ไม่ได้ดีอย่างที่คิด สุดท้ายตนไม่สามารถปิดการขายได้ แต่ก็คิดไว้ว่าหากสามารถขายผลิตภัณฑ์ที่ได้มา ก็อาจจะพอได้ทุนคืน แต่ก็ขายไม่ได้สักกล่องเพราะผลิตภัณฑ์มีราคาค่อนข้างสูง อีกทั้งตนยังเคยขอเงินคืนกับทางทีมเครือข่าย แต่กลับถูกต่อว่ากลับมา

สุดท้ายคุณเอ ฝากเตือนสำหรับคนที่กำลังสนใจธุรกิจประเภทนี้ ซึ่งกว่าจะเก็บเงินได้มันยากมาก พอนำเงินไปลงทุน แต่ผลตอบแทนกลับไม่ได้อะไรเลย

ขณะที่ พ.ต.อ. ประทีป เจริญกัลป์ ผู้อำนวยการกองคุ้มครองผู้บริโภคด้านธุรกิจขายตรง และตลาดขายตรง ระบุว่า เมื่อปี 2558 ได้มีการเปรียบเทียบปรับบริษัท และบุคคล ในฐานะกรรมการบริษัทนี้ รวม 1,240,000 บาท ฐานประกอบธุรกิจโดยไม่ได้รับอนุญาตซึ่งเป็นคนละประเด็นกับผู้ร้องที่มาในวันนี้

 

ซึ่งหลังจากนี้จะต้องตรวจสอบความเสียหายในแต่ละราย ว่าบริษัท หรือกลุ่มบุคคลดังกล่าง กระทำผิดกฎหมายบทใด จากการฟังข้อเท็จจริง น่าจะผิดพ.ร.บ. ขายตรง แต่ในส่วนความผิดกู้ยืมเงินเพื่อการฉ้อโกง หรือกักขังหน่วงเหนี่ยว ถ้าเข้าความผิดใดก็จะส่งต่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อไป

รายการดีเบต โต้เหตุผล ค้นความจริง ตอน เปิดโปง ‘ธุรกิจขายฝัน’ ? และติดตามประเด็นอื่นได้ทุกวัน จันทร์-ศุกร์ เวลา 16.40 – 17.00 น. ได้ทางช่อง 33 และ ช่อง 3HD

และ

http://tv.bectero.com/debate/152846/%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B9%82%E0%B8%9B%E0%B8%87-%E0%B8%98%E0%B8%B8%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%88%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%9D%E0%B8%B1%E0%B8%99-4-%E0%B8%98-%E0%B8%84

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน