กรณี อดีตนักแสดงหนุ่ม นายวีระชัยศรีวณิก วรรณึกกุล อายุ 38 ปี หรือ หนอ นายศิวัช หล่ำศรี อายุ 36 ปี และ นายณรงค์ฤทธิ์ ทองพันธุ์ อายุ 30 ปี ซึ่งเป็นบุคคลที่ปรากฏในภาพวงจรปิด บุกอู่ทำสีรถของหนุ่มเจ้าของ พร้อมปืน กุญแจมือ ก่อนอ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ ป.ป.ส. เข้ามอบตัว สน.สายไหม ก่อนถูกควบคุมตัวสอบสวนที่ห้องปฏิบัติการสืบสวน สน.สายไหม ชั้นพนักงานสอบสวนได้คัดค้านการประกันตัว เนื่องจากเป็นคดีอุกฉกรรจ์ อีกทั้งเป็นคดีที่ประชาชนให้ความสนใจ ก่อนนำ 3 ผู้ต้องหาส่งศาลมีนบุรี ขณะที่ยังมีชายหนุ่มอีกรายเดินทางมายังโรงพัก ระบุกลุ่มผู้ต้องหาเข้าตรวจค้น อุ้มขึ้นรถยนต์อ้างเป็นเจ้าหน้าที่ ป.ป.ส. ก่อนจะบังคับให้ถอดสร้อยคอทองคำหนัก 5 บาท ไอโฟน 7 พลัส เงินสดจำนวน 1 หมื่นบาท ไปเช่นกันก่อนหน้านี้

วันที่ 8 ธ.ค. ผู้สื่อข่าวข่าวสดติดต่อสอบถามไปที่ พล.ต.ท.สมหมาย กองวิสัยสุข ผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด หรือ ผบช.ปส. กล่าวในกรณีนี้ว่า คาดว่าอดีตนักแสดงคนนี้น่าจะมีความชอบเกี่ยวกับตำรวจ โดยเฉพาะตำรวจปรามปราบยาเสพติดเป็นพิเศษ เขาอาจจะพยายามเรียนรู้การฝึกการปฏิบัติการของตำรวจ เหมือนเป็นความรู้สึกหรือความฝันที่ฝังใจมานานแล้ว ซึ่งการกระทำผิดในครั้งนี้ก็มาจากสาเหตุที่ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ แต่ครั้งนี้หนักกว่าปกติ เพราะนำอาวุธปืนมาก่อเหตุด้วย ซึ่งจากที่เห็นจากกล้องวงจรปิด เขาถือกระดาษใบหนึ่ง ก่อนชักปืนออกมา จะขู่ให้ฝ่ายตรงข้ามกลัว ถ้าเป็นตำรวจ ตำรวจจะไม่ชักปืนออกมาก่อน ถ้าไม่มีความรุนแรงเกิดขึ้น หรือไม่มีเหตุให้ต้องใช้ปืนเพื่อลดทอนกำลังของฝ่ายตรงข้าม ตำรวจจะไม่ใช้อาวุธปืนเด็ดขาด ซึ่งการแสดงตัวดังกล่าวไม่ใช่วิสัยการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ

“อดีตดารานักแสดงชายคนนี้เคยเข้ามาติดต่อกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ บช.ปส. เพื่อขอเป็นครูฝึกของหน่วยสยบไพรี ซึ่งตนก็แปลกใจเป็นอย่างมากถึงพฤติการณ์การเข้ามาติดต่อ แสดงว่าต้องเป็นคนที่ชอบเรื่องเครื่องแบบ การต่อสู้ และการจับกุมคนร้าย” ผบช.ปส. กล่าว

พล.ต.ท.สมหมาย กล่าวด้วยว่า อยากฝากเตือนถึงประชาชนว่า อย่าเชื่ออะไรง่ายๆ แม้จะแต่งเครื่องแบบมาจริงๆ เพราะชุดเครื่องแบบมีขายทั่วไป หากคุณใช้โซเชียลและเทคโนโลยีเป็น ก็อยากจะให้เก็บภาพ เก็บวีดิโอไว้ เพราะถ้าเป็นตำรวจจริง ตำรวจจะระมัดระวังการปฏิสัมพันธ์กับประชาชนมาก สิ่งใดก็แล้วแต่ที่ทำลงไปจะเผยแพร่และกระจายเร็วมาก อีกสิ่งที่สำคัญคือ การมีสติ และคิดทบทวนอย่างละเอียดรอบคอบ หากมีคนแอบอ้างเข้ามา ทั้งกรณีเช่นนี้ หรือการโทรมาแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่รัฐเพื่อให้โอนเงินค่าเสียหายหรือค่าปรับไปให้ เมื่อตอนที่ได้ฟังก็ต้องคิดทบทวนถึงความเป็นไปได้ก่อนว่า เราทำผิด หรือมีเหตุต้องเสียค่าเสียหายจริงหรือไม่ อย่าปักใจเชื่ออะไรง่ายๆ เพราะเราก็รู้ตัวเองดีที่สุดว่า เคยทำหรือไม่เคยทำสิ่งใดไว้ ในกรณีนี้โชคดีที่ผู้เสียหายมีกล้องวงจรปิด จึงสามารถทราบตัวผู้ก่อเหตุได้อย่างรวดเร็ว

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน