รู้จัก เมียพระราชทาน มีนัยยะการเมืองแอบแฝง? กฎหมายตราตั้ง แบ่งไว้ภรรยาไว้ 3 ประเภท
วันที่ 27 พ.ย.66 ละคร พรหมลิขิต EP17 กำลังเข้มข้น โดยมีฉากที่สมเด็จพระเจ้าท้ายสระ มีพระราชโองการแต่งตั้งเมียพระราชทานส่งมาถึงบ้านของ พ่อริด
“ภรรยาพระราชทาน” หรือ “เมียพระราชทาน” เป็นธรรมเนียมนิยมอย่างหนึ่งในราชสำนักสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ผู้ใดทำความดีความชอบ จงรักภักดี เป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัยของพระเจ้าแผ่นดิน พระองค์ก็จะพระราชทานผู้หญิงเป็นบำเหน็จรางวัล หญิงนั้นได้ชื่อว่าเป็น “นางพระราชทาน” หรือ “เมียนาง” นั่นเอง
เมียพระราชทาน ไม่ใช่เรื่องที่พระเจ้าแผ่นดินทรงทำไปอย่างสนุกๆ ไม่มีสาระ นึกจะยกผู้หญิงให้ไปบำเรอกามารมณ์ของใครก็ได้ แต่กลับเป็นนโยบายในการบริหารระดับชาติเลยทีเดียว สิ่งที่พอจะเป็นหลักฐานยืนยันว่า การพระราชทานนางมี “การเมือง” แอบแฝงอยู่ด้วยแน่นอนนั้น มีประเด็นต่าง ๆ ที่น่าจะนำมาพิจารณาได้ดังนี้
ประการแรก หญิงที่พระเจ้าแผ่นดินนำมาพระราชทาน เป็นนางข้าหลวงที่มาถวายตัวรับใช้อยู่ตามตำหนักมเหสี เจ้าจอม และพระสนมต่างๆ หญิงเหล่านี้มักเป็นลูกคหบดี ข้าราชการ ซึ่งปรารถนาจะให้ลูกได้รับการศึกษาอบรมแบบชาววัง เพราะฉะนั้นจึงมักจะส่งธิดาเข้าไปถวายตัวเป็นนางข้าหลวงอยู่กับเจ้านาย พระองค์หญิง หรือท่านผู้ใหญ่ในพระราชวังตั้งแต่ยังเยาว์วัย ข้าราชการที่ถวายธิดาเป็นนางข้าหลวงคนหนึ่งหรือสองคนแล้ว ก็นิยมส่งธิดาผู้น้องเข้าไปศึกษาอบรมด้วย
สำหรับพระเจ้าแผ่นดิน การโปรดหญิงคนใดขึ้นเป็นเจ้าจอม นอกจากจะเป็นการชอบพอพระทัยของพระองค์เองแล้ว ย่อมหมายถึงการผูกความจงรักภักดีของครอบครัวนั้นต่อพระองค์ด้วยอีกประการหนึ่ง การจะยกหญิงคนใดให้ข้าราชการผู้ใด อาจใช้หลักการอันเดียวกันคือ เป็นการผูกพันให้เกิดความจงรักภักดียิ่งๆ ขึ้นไปอีก
ประการที่สอง พระเจ้าแผ่นดินไทยไม่นิยมพระราชทานพระมเหสี เจ้าจอม หรือพระสนมของพระองค์แก่ผู้ใด ด้วยมีประเพณีถือกันว่าอะไรที่เป็นของใช้ส่วนพระองค์แล้ว ใครไปใช้ร่วมย่อมเป็นเสนียดจัญไร จึงพระราชทานได้แต่นางข้าหลวงในตำหนักของพระชายาต่างๆ เท่านั้น หญิงเหล่านี้พอเริ่มเติบโตก็ถูกส่งมาอยู่ในวัง ได้รับการฝึกปรือกล่อมเกลาความจงรักภักดี เมื่อถูกส่งไปอยู่กับใคร ก็อาจโน้มน้าวให้คนที่อยู่ใกล้มีแต่ความจงรักภักดียิ่งๆ ขึ้นไป
เมียพระราชทาน หรือ เมียนาง มีกฎหมายรับรองสถานภาพ ซึ่งเป็นกฎหมายตราขึ้นตั้งแต่สมัยพระเจ้าอู่ทอง ได้แบ่งภรรยาไว้ 3 ประเภท
เมียกลางเมือง หมายถึง เมียหลวง ได้แก่ “หญิงอันบิดามารดากุมมือให้เป็นเมียชาย”
เมียกลางนอก หมายถึง เมียน้อย (อนุภรรยา) ซึ่งได้แก่ “ชายขอหญิงมาเป็นอนุภรรยา หลั่นเมียหลวงลงมา”
เมียกลางทาสี หมายถึง เมียที่เป็นทาส ได้แก่ “หญิงใดมีทุกข์ยากชายช่วยไถ่ได้มา เป็นหมดหน้าเลี้ยงเป็นเมีย” รองลงมาจากเมียน้อย
นอกจากนี้ ในกฎมณเฑียรบาล ยังกล่าวถึงภรรยาอีกประเภทหนึ่งคือ เมียพระราชทาน หรือ เมียนาง ซึ่งมีตำแหน่งและฐานะสูงกว่าเมียกลางเมือง (เมียหลวง) แต่ถือศักดินาเท่าเมียหลวง ผู้ที่ได้รับพระราชทานเมียนาง จะเอาไปขายเป็นทาสแก่ผู้ใดไม่ได้ ส่วนเมียหลวง เมียน้อย หรือเมียทาส สามีมีสิทธิที่จะเอาไปขายได้ นอกจากนี้ ยังต้องปฏิบัติให้ถูกทำนองคลองธรรม จะทุบตีทารุณอย่างเมียอื่นไม่ได้
ที่มา : ศิลปวัฒนธรรม