อีกไม่นานก็จะครบ 1 ปีคดีสะเทือนขวัญ ฆ่าหั่นศพ “แอ๋ม” หรือ “น.ส.วาริสรา กลิ่นจุ้ย” เมื่อวันที่ 25 พ.ค.2560 หลังจากที่ชาวบ้านในพื้นที่ บ.โนนสง่า ม.9 ต.คำม่วง อ.เขาสวนกวาง จ.ขอนแก่น พบศพสาวถูกฆ่าหั่นแยกออกเป็น 2 ท่อน ฝังดิน ต่อมาศาลจังหวัดขอนแก่นได้อนุมัติออกหมายจับผู้ต้องหาในคดีฆ่าหั่นศพน้องแอ๋ม ในข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา และปิดบังซ่อนเร้นทำลายศพ ผู้ถูกกล่าวหาเป็นชาย 1 คน หญิง 3 คน คือ นายวศิน, เปรี้ยว ปรียานุช, เอิร์น กวิตา, แจ้ อภิวันทน์

ล่าสุดรายการโหนกระแส วันที่ 13 เม.ย. ดำเนินรายการโดย หนุ่ม-กรรชัย กำเนิดพลอย ผลิตในนามบริษัท ดีคืนดีวัน จำกัด ออกอากาศทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 17.20 น. ทางช่อง 28 ได้สัมภาษณ์คุณพ่อคุณแม่น้องแอ๋ม “นางพิชชาภา กลิ่นจุ้ย” คุณแม่ และ “นายสุชาติ คำเพิงใจ” คุณพ่อ หลังจากที่เปรี้ยวกลับคำให้การไม่เจตนาฆ่า พร้อม “ทนายสงกานต์ อัจฉริยะทรัพย์” มาร่วมพูดคุยกันในรายการอีกครั้ง

เรื่องน้องแอ๋ม ทางรายการโหนกระแสเชิญมาเทปแรกที่มีการออกอากาศ คุณพ่อคุณแม่ก็มา และออกมาพูดเปิดใจครั้งแรกในรายการเรา?
แม่ : “ใช่ค่ะไม่เคยไปรายการอื่นเลย”

จากวันนั้นจนวันนี้ กำลังจะ 1 ปีแล้วเป็นยังไงบ้าง?
แม่ : “เหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ 1 ปีมันเร็วจัง เรายังเสียใจ ยังนึกภาพ นึกถึงเหตุการณ์ก็ยังทำใจไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ดีขึ้น แต่พอไปฟังเรื่องราวการพิจารณาคดี ก็ได้รู้ความจริงหลายๆ อย่าง ที่เราคิดว่าเป็นแค่นี้ แต่เรารู้เยอะ มันขยายความไปละเอียดมาก ความทรมานของลูกก่อนจะเสียมันเยอะ เขาไม่ได้ทำให้ตายทีเดียว ไม่ได้ฆ่าปุ๊บตายปั๊บ เขาทรมานอยู่หลายชม. มันสะเทือนหนักสำหรับเรา”

ตอนแรกเหมือนจะลงเอย แต่สุดท้ายเปรี้ยวได้ออกมาบอกว่าฆ่าจริงแต่ไม่ได้เจตนา มันจะทำให้โทษบรรเทาลงมั้ย?
ทนายสงกานต์ : “โทษลดลงการเจตนาฆ่าในทางอาญา ถ้าโทษความผิดฐานฆ่าผู้อื่น โทษสูงสุดคือประหารชีวิต รองลงมาคือจำคุกตลอดชีวิต หรือต่ำสุด 15 ปี 20 ปี เมื่อไม่เจตนา ศาลก็จะพิเคราะห์ตามพฤติการณ์ของคดี ตัวจำเลยที่เกี่ยวข้อง ใครเป็นผู้ลงมือกระทำ และใครเป็นผู้สนับสนุน ผู้ใดเป็นผู้ช่วยเหลือในการสนับสนุน”

ให้พ่อแม่ช่วยย้อนไปเหตุการณ์วันนั้น
พ่อ : “ทั้งสี่คนไปเจอแอ๋มโดยบังเอิญ เขาไปเที่ยวตะวันแดงเขาเป็นเพื่อนกันมาก่อน แต่เปรี้ยวโกรธแค้นแอ๋ม เรื่องเกี่ยวข้องกับยาเสพติดที่ผ่านมา ที่แฟนเปรี้ยวโดนจับ เขาคิดว่าแอ๋มเป็นคนให้ข้อมูลตำรวจในการไปจับเขา เขาคิดว่าตัวเขามีหมายจับ พอรู้ว่าตัวเองไม่มีหมายจับ ก็เป็นความเข้าใจผิดของเขาเอง ก็ผูกใจเจ็บแอ๋มมา”

วันที่ไป มี แจ้ เอิร์น วศิน ขับรถ มีเปรี้ยว คนไปล่อแอ๋มให้มาที่รถคือเอิร์น?
พ่อ : “ใช่ครับ พอแอ๋มขึ้นรถปุ๊บเปรี้ยวก็โดดล็อกคอแอ๋มเลย สองคนที่เหลือก็ช่วยจับแขนจับขา แล้วก็ตี วศินก็ขับรถรอบเมือง วิ่งไปไหนไม่รู้ วิ่งไปเรื่อย”

ตอนนั้นแอ๋มไม่เสียชีวิต?
พ่อ : “ไม่เสียชีวิต พวกนี้ตีจนไปถึงจ.มหาสารคาม ก็ฟังจากพวกเปรี้ยว มีหลายคนพูดให้ฟัง เอามาปะติดปะต่อเป็นเรื่องเป็นเรื่องเป็นราว ตีจนสลบแล้วขับรถวกมาที่ขอนแก่น แอ๋มก็โมโห ก็มีปากสียงกันทำนองว่าถ้าทำกูถึงขนาดนี้ ทำไมไม่ทำให้กูตายเลย ถ้ากูไม่ตายพวกมึงตาย เขาก็เลยขึ้น ทีนี้ตบตีแล้วเอาถุงดำผูกคอจนทำให้ขาดอากาศหายใจ”

ใครเป็นคนทำ?
พ่อ : “เปรี้ยวครับ เขาตั้งใจจะบีบให้ตายอยู่แล้ว แต่เขาบอกว่าเขาไม่ได้เจตนา หลังจากนั้นเขาก็วางแผน ช่วงนั้นเป็นช่วงยังไม่สว่าง พวกร้านอุปปกรณ์ยังไม่เปิด พอรอร้านเปิดเขาก็ไปซื้อพวกเลื่อยพวกมีด ตอนแรกพาไปเขาสวนกวาง แต่ไปไม่ถึงเขาสวนกวางเพราะมีด่านตรวจ เขาเลยขับเข้าป่า เปรี้ยวชำนาญเส้นทางบ้านเขาอยู่แถวนั้น เขารู้ว่าทางลัดอยู่ไหน แล้วก็โยนพวกมีดพวกเลื่อยทิ้ง แล้วไปถึงที่จุดเกิดเหตุใช้เสียมพวกนี้ขุด”

หั่นที่ไหน?
พ่อ : “ที่โรงแรม ที่เป็นรีสอร์ต คนหั่นก็ไม่เชื่อว่าหั่นแค่ 3 ผมเชื่อว่าหั่นหมด”

คิดว่าวศินหั่นด้วย?
พ่อ : “ใช่ เป็นไปไม่ได้ เพราะลูกสาวผมตัวใหญ่ ต้องมีผู้ชายยก”

ตอนนั้นเขาใส่ถัง?
พ่อ : “เขาใส่ถังแล้วพอไปเจอด่านก็หลบเข้าป่า”

ทางวศินบอกว่าดูต้นทาง พ่อไม่เชื่อ?
พ่อ : “ไม่เชื่อ แอ๋มเป็นคนตัวใหญ่ แล้วผู้หญิงจะยกยังไง มันลำบาก ยกตั้งแต่ลงรถ เข้าห้องน้ำ ผู้หญิงยกไม่ขึ้นหรอก ตัวใหญ่กว่าเยอะ”

หลังจากนั้นเขานำศพที่หั่นแล้วขึ้นรถไปไหนต่อ?
พ่อ : “ที่เขาสวนกวางแต่ไปไม่ถึง เพราะเจอด่าน เปรี้ยวเป็นคนแถวนั้น รู้เส้นทางหนีทีไล่หมด ก็วิ่งทางลูกรัง แล้วโยนมีดหั่นศพทิ้งออกไป หลังจากนั้นก็ไปถึงจุดที่ซ่อนเร้นศพ พอดีขุดไม่ลึก มันเลยเหลือโผล่ขึ้นมาเป็นขา”

ทำไมอยู่ดีๆ เปรี้ยวถึงได้ออกมาพูดว่าไม่เจตนาฆ่า?
พ่อ : “เขาพูดลักษณะแบบนี้ เขาคิดว่าถ้าเขาพูดสำเร็จเขาจะเบาจากโทษที่เขาได้รับ เขาบอกว่าเขาฆ่าแต่ไม่เจตนาฆ่า ไม่คิดว่าจะตาย คือพูดง่ายๆ ฆ่าโดยไม่เจตนา”

แม่คิดว่าเขาเจตนามั้ย?
แม่ : “แม่เชื่อเกินร้อยแหละ เขาตั้งใจมาฆ่า เพราะเหมือนที่เขาโพสต์มาว่าเขาแค้นฝังหุ่น อยู่ดีๆ ก็โพสต์ตุ๊กตาผี เพื่อจะกลับมาวางแผนและมาฆ่าลูกเรา เพราะเขาคิดว่าแอ๋มทำให้ชีวิตเขาพัง เจตนาฆ่าแล้ววางแผน มีการโทรเรียกเพื่อนในกลุ่มเขา ว่าไปจับหนูตัวใหญ่กับกูมั้ย มีคำพูดในโพสต์กับเพื่อนเขา ตั้งใจจะบดให้ละเอียดด้วยซ้ำ”

เอาศพไปบดให้ละเอียด?
แม่ : “ใช่ แต่เวลามันน้อย สว่างซะก่อน เลยเอาไปหั่น แบบนี้จะไม่เจตนาได้ไง ตั้งใจเต็มๆ ทำยังไงเราก็ไม่เชื่อ”

ทนายสงกานต์ : “ต้องดูว่าตำรวจตั้งข้อหาตามมาตรา 288 หรือเปล่า ถ้า 288 มีโทษสามสถาน คือหนึ่งประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต หรือตั้งแต่ 15-20 ปี แต่ถ้าเกิดตาม 289 ก็น่าจะเข้า 289 เพราะเป็นการฆ่าโดยวิธีการโหดร้าย ที่ตัวพ่อแม่เล่าให้ฟัง มีการหั่นน้อง มีการล็อก มีการอะไรต่างๆ ต้องดูในคำฟ้องว่าท่านอัยการฟ้องในความคิด 288 หรือ 289 แต่ถ้าเกิดโทษประหารชีวิต ถ้าตัวจำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธ โอกาสลดโทษน้อย แต่เชื่อเหลือเกินว่าก่อนศาลอ่านคำพิพากษา มิ.ย. เขาพร้อมถอนคำให้การ เพื่อรับสารภาพ เพื่อลดโทษ เขามีสิทธิ์ตามกฎหมาย”
พ่อ : “เขามีเวลาที่จะทำได้”
ทนายสงกานต์ : “ก่อนคำพิพากษา”

เขาจะกลับคำให้การยังไง?
ทนายสงกานต์ : “ก็คือหนึ่งจากการที่สู้โดยปฏิเสธ เป็นรับสารภาพ เพื่อลดโทษกึ่งหนึ่ง ถ้าเห็นไปไม่รอด”

ณ วันนี้ แน่นอนหลักฐานทุกอย่างพยานคำให้การชี้ไปว่าเขาเป็นผู้กระทำ ถ้าเขาดื้อสู้ต่อว่าไม่เจตนา ถ้าศาลลงว่าไม่เป็นอย่างที่คุณพูดมันหนัก มีอีกทางของเขาคือกลับลำใหม่ บอกว่าเขาเจตนา ก็ลดโทษกึ่งหนึ่ง?
ทนายสงกานต์ : “ก็น่าจะไปไล่ดูเรื่องของคำเบิกความก่อน เพราะที่ผ่านมา พยานแต่ละฝ่ายเบิกความอย่างไร เขามีเวลาคิดก่อนศาลอ่านคำพิพากษา หลายคดีที่ผ่านมา จำเลยถอนคำให้การเดิม จากปฏิเสธก็มาเป็นรับสารภาพตามคำฟ้องของโจทก์ เพื่อลดโทษกึ่งหนึ่ง”

ฟังแล้วรู้สึกยังไง?
พ่อ : “รู้สึกว่าทำผิดขนาดนี้แต่มีโอกาสมาตลอดเลย”
แม่ : เขาคิดว่าเขาคงไม่ตายเพราะถึงจะถูกตัดสินประหารแต่เขายังมีสิทธิ์อุทธรณ์ ลูกเราก็ต้องตายฟรี”

ได้เจอเขา?
แม่ : “เจอทุกวันตอนขึ้นศาล เขายังมีการทาเล็บขึ้นศาล ยังห่วงสวย”
ทนายสงกานต์ : “ต้องเรียนพ่อกับแม่ว่าในทางกฎหมาย ต้องต่อสู้กันตั้งแต่ชั้นต้น อุทธรณ์ ฎีกา เขาก็ยังมีโอกาส ถ้าเราเป็นนักกฎหมายและเห็นว่าเขาไปไม่รอด ผมเชื่อเหลือเกินว่าก่อนอ่านคำพิพากษา เขายังมีโอกาส”

มีทางเอาให้เขาอยู่หมัด?
ทนายสงกานต์ : “เชื่อว่าคดีนี้พนักงานอัยการเจ้าของสำนวนและตัวคุณพ่อคุณแม่ตั้งทนายเข้าไปเป็นโจทก์ร่วม เชื่อว่าอัยการเขามีความรอบคอบ เก่ง และทนายโจทก์ร่วมเข้าไปดูในประเด็นต่างๆ ที่จำเลยได้สู้มา และสืบให้ศาลเห็นว่าตัวจำเลยทั้งหมด มีการวางแผน มีการเตรียมการไว้ก่อนอย่างไร จากการที่ได้คุยกับคุณพ่อคุณแม่เมื่อสักครู่”

พ่อแม่ไปเจอเปรี้ยวกับพวกสามคนทุกครั้งตอนขึ้นศาล เขามาขอโทษอะไรมั้ย?
แม่ : “ครั้งเดียวครั้งแรกที่ขึ้นไป”
พ่อ : “มาขอโทษเป็นทนายกับผู้พิพากษาแนะนำ เหมือนให้มาขอขมา”
แม่ : “จะทำแค่ต่อหน้าสื่อ สร้างภาพให้ทางศาลเห็น ทุกครั้งที่เขาขึ้นศาลก็ยังเห็นเขาสนุก ยังหัวเราะ ยังร่าเริง มองหน้าเราแล้วก็เฉยๆ เคยขอโทษแค่ครั้งแรกที่เจอกัน เป็นทางฝ่ายทนายความให้ทำ จนศาลถามว่ายอมรับการขอขมาของเขามั้ย เราก็บอกว่าถ้าทำด้วยเจตนาตั้งใจของเขาจริงๆ เราก็จะรับ เขาก็เลยมาทุกคน ก็กราบเท้าแล้วก็ร้องไห้ แย่งกันพูด แย่งกันขอโทษ เปรี้ยวยืนอยู่ข้างหน้า คุกเข่ามองหน้าจ้องหน้าแล้วร้องไห้ จับมือเราแล้วบอกว่าถ้ามีโอกาสรอดออกไปเขาจะทำหน้าที่แทนแอ๋มเอง แม่บอกว่าแม่มีลูกคนเดียว ต่างคนต่างร้อง เราก็กลั้นไม่อยู่ ทำไมต้องทำถึงขนาดนี้ ถ้าเป็นเพื่อนกันจริงๆ ก็ถามเขาแค่นั้น เขาบอกว่าเขาไม่ได้คิดว่าน้องจะเสีย”

เขาบอกพ่อยังไง?
พ่อ : “ก็อยู่ด้วยกัน เขาก็พูดเหมือนกัน แต่พอขอขมาเสร็จเขาก็หัวเราะ”
แม่ : “จากที่เศร้าต่อหน้าเรา”
พ่อ : “เหมือนเล่นละคร”

อยู่ต่อหน้าพ่อคุกเข่าร้องไห้ จับมือถ้ารอดจะทำหน้าที่แทนแอ๋ม เสร็จออกไปนั่งข้างๆ หัวเราะ?
พ่อ : “เขาก็หยอกกัน หัวเราะกันปกติ เหมือนตอนขึ้นศาล เขาไม่จริงใจ ทำไปก็เพราะทนายบอก ดูสายตาก็รู้ว่าไม่จริงจัง”

เรื่องทาเล็บ?
แม่ : “ทาทุกครั้ง ล่าสุดที่เขาแอบเซลฟี่ ที่มีแชตหลุดก็เห็นเล็บทาทุกสี เขาคงมีสิทธิ์ทำแบบนี้ แต่เราเห็นคือภาพเขาก็ยังดูดีอยู่”

มีเรื่องอีกเรื่องที่พ่อแม่รู้สึกตกใจมาก วันไปขึ้นศาล ไฟดับหมดเลย?
แม่ : “พ่อไปเจอพ่อกับแม่วศิน ซึ่งไม่เคยได้คุยกันเลย”
พ่อ : “เขาก็ถามสารทุกข์สุขดิบ พ่อแม่เขาไม่ได้อยู่ด้วยกัน ก็คุยกันว่าสาเหตุเป็นอย่างนี้ๆ พ่อกับแม่เขาแยกทางกัน วศินมาอยู่กับพ่อ เช่าหอพักอยู่ ไม่มีเวลาอบรมดูแลลูก คบแต่เพื่อน แล้วก็ขอโทษพวกผม คุยกันรู้เรื่อง พอเขามาถามเรื่องแอ๋ม ผมบอกว่าผมไม่อยากพูด เพราะปกติถ้าน้องมา จะมีไฟกับฝน พอผมพูดไม่ถึง 5 นาที ไฟดับเลย ผมเลยเดินไปบอกว่าไม่มีอะไรลูก พ่อไม่คุยเรื่องหนูแล้ว พอเดินกลับมาไฟก็มาปกติ เขาเห็นกัน 7-8 คน”

ทำไมถึงคิดว่าถ้าแอ๋มมาไฟต้องดับ?
พ่อ : “ไฟดับเลย เขาก็เห็นกันหมดทุกคน เขาก็กลัวและเชื่อกัน เพราะเห็นจริงๆ เขาไม่เคยเจอ”

ครั้งแรกที่ออนแอร์ คุณพ่อคุณแม่ได้ออกรายการ ได้นำเอาอัฐิน้องแอ๋มมาวางไว้กลางรายการ วันนั้นไฟดับ ซึ่งไม่เคยมีเกิดขึ้นมาก่อน พ่อก็มั่นใจว่าแอ๋มมา?
แม่ : “ในห้องพิจารณาคดีก็ดับ”
พ่อ : “กำลังเบิกความ ช่างขึ้นไปดูไฟว่าไม่มีอะไรขาดไม่มีอะไรเสีย”

คิดว่าลูกอยู่ข้างๆ ตลอด?
พ่อ : “อยู่ครับ เพราะผมไปจุดธูปขอศาลพระพรหมที่อยู่ข้างศาล ขออนุญาตให้ลูกขึ้นมาฟังด้วยได้มั้ย จุดธูปบอก”

อีกเรื่อง คือเรื่องของทางเปรี้ยว ที่เขาไปกระทำการไม่ควรบนศาล ถ่ายเซลฟี่ ผิดมั้ย?
ทนายสงกานต์ : “ผิดสิครับในเรื่องละเมิดต่อหน้าศาล ทราบว่าศาลได้พิพากษาให้จำคุก 1 ปี แต่โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 1 ปี และปรับ 500 บาท”

ใครถ่าย?
แม่ : “เป็นโทรศัพท์เบนซ์ เพื่อนเขาที่โดนข้อหารับของโจร เขาจะมาทุกครั้งที่มีการพิจารณาคดี เพราะเขาอยู่ในช่วงประกันตัวออกไป พอมาก็ไปนั่งรวมกันแล้วถ่ายช้อนขึ้นมา แล้วส่งต่อให้เพื่อนๆ ที่อยู่ข้างนอก”
ทนายสงกานต์ : “ถ้าในทางกฎหมายถือว่าประพฤติไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล มีโทษทางอาญา ศาลให้รอการลงโทษไว้ 1 ปี เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ เวลาเข้าไปในศาล จะไปถ่ายเซลฟี่แล้วทำมือแบบฮาร์ตบีต แล้วส่งต่อๆ กัน ไม่ได้ครับ เรื่องวันนี้ประโยชน์เต็มที่ตัวน้องผู้ตายได้บอกกับตัวเปรี้ยวว่าถ้ามึงฆ่ากูไม่ตาย กูกลับไปฆ่ามึง นี่เป็นเหตุที่เขาอ้าง”
แม่ : “โมโหที่ลูกเราไปท้าทาย”
ทนายสงกานต์ : “ประโยคหนึ่งที่คุณผู้ชมสามารถนำไปเป็นอุทาหรณ์ได้ ถ้าเราเกิดวิกฤต แล้วใครทำร้ายเรา คุณอย่าไปพูดนะว่าถ้ากูรอด กูจะไปฆ่ามึง”
แม่ : “ต้องเอาชีวิตตัวเองไว้ก่อน”
ทนายสงกานต์ : “มันจะทำให้คนร้ายที่จะฆ่าเราจะเอาเราให้ตาย อย่าไปพูดเด็ดขาด”

ถ้าทางเปรี้ยวเอาคำนี้มาสู้ในชั้นศาลว่าเขาขู่ ก็เลยต้องฆ่า?
ทนายสงกานต์ : “ก็นี่ไงพี่หนุ่ม เปรี้ยวเขาก็เอาไปเบิกในชั้นศาล”
แม่ : “เขาก็เอาไปเป็นหลักฐานทุกอย่างที่เขาจะอ้างได้ เขาอ้างหมด”
ทนายสงกานต์ : “แต่เชื่ออย่างหนึ่งว่าในคดีนี้ศาลท่านมองเห็น ว่าถ้าเป็นเพื่อน เพื่อนทำไมไม่ห้าม ปรากฏว่าไปๆ มาๆ เราเชื่อว่าเป็นตัวการร่วม เดี๋ยวรอดูว่าผลจะเป็นเช่นไร และฟ้องในความผิดฐานใดบ้าง”

ครอบครัวเปรี้ยวหรือครอบครัวคนอื่นๆ เจอมั้ย?
แม่ : “เจอทุกคนค่ะ เขาก็เข้ามาคุยกับคุณพ่อก่อน คุยกันหลายครั้งว่าอยากไปร่วมทำบุญร้อยวันแต่ไม่กล้าไป เพราะกลัวทางเราโกรธอยู่ แต่พอมีโอกาสเจอที่ศาล พอเดินผ่าน เขาเห็นเรายิ้มให้เลยกล้าเข้าไป คุยกัน รู้สึกเขาขอโทษเราทุกคนนั่นแหละ”

ญาติพี่น้องจำเลยเขาเข้าใจเราดี แต่ตัวจำเลยต่อหน้าดี แต่ถัดไปหัวเราะ?
แม่ : “ก็เป็นอีกอารมณ์หนึ่ง ต่อหน้าเราจะทำให้เราสงสารหรือเปล่า จิตใจเราจะให้อภัยก็ให้อภัยไม่ได้”
ทนายสงกรานต์ : “ไม่ได้มีความจริงใจ ไม่ได้สำนึกในผลของการกระทำ”
แม่ : “จนป่านนี้ยังเฉยอยู่ คิดว่าตัวเองทำถูก”

แม่อยากบอกอะไรในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา?
แม่ : “แม่อยากให้เป็นคดีเอาเป็นตัวอย่างก็ได้ ที่ทำให้คนอื่นๆ ที่คิดจะเป็นลักษณะแบบเปรี้ยว เลิก อย่าเอาคนแบบนี้มาเป็นตัวอย่าง เป็นเน็ตไอดอล เอฟซี คิดถึงอนาคตตัวเองมันก็จบอยู่ตรงความคึกคะนองชั่ววูบของวัยรุ่น วัยรุ่นต้องตั้งสติ คนที่ลำบากคือพ่อแม่ครอบครัว พ่อแม่เขาก็น่าสงสารทุกคน เขาก็รักลูกทุกคนเขาก็เสียใจไม่ต่างจากเรา อยากให้คดีแอ๋ม เปรี้ยว อยากให้วัยรุ่นที่คึกคะนอง พยายามยับยั้งอารมณ์ตัวเอง อย่าเอาสิ่งมัวเมา เอาความคิดกล้าทำคนอื่นแค่อารมณ์ชั่ววูบ มันจะเสียอนาคตได้”
พ่อ : “ก็วิงวอนนะครับ วัยรุ่นทั้งหลาย อย่าเอาเปรี้ยวเป็นแบบอย่างเด็ดขาด ไม่มีเรื่องดีสักอย่าง คิดไว้เลยว่าจุดจบเขาเป็นแบบไหน เอฟซีอะไรต่างๆ ที่ลงในโซเชียล อย่าไปชื่นชม อย่าไปให้การสนับสนุน ทุกอย่างมันคือบทเรียนนะครับ”

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน