สาวผวาขอความช่วยเหลือ ถูกสต็อกเกอร์พม่าตามข่มขู่ถึงคอนโด เผยหนักสุดจะขึ้นมาฆ่า แถมตำรวจไม่รับแจ้งความ เจ้าตัวลั่น ต้องรอให้มันสายไปก่อนหรือยังไง

จากกรณีผู้ใช้เฟซบุ๊ก Sanella Linvar ได้โพสต์แชร์ประสบการณ์ โดนสต็อกเกอร์ซึ่งเป็นชายชาวพม่า ส่งข้อความมาข่มขู่ไม่หยุด รวมถึงตามมาถึงที่คอนโดถึง 3 ครั้ง ในเวลา 3 วันติดต่อกัน จนทำให้ไม่สามารถนอนหลับหรือใช้ชีวิตตามปกติได้เลย

ล่าสุดเวลา 20.15 น. วันที่ 30 เม.ย.68 คุณลิน เจ้าของโพสต์ดังกล่าว ได้เปิดใจกับ ‘ข่าวสดออนไลน์’ ระบุว่า เมื่อประมาณ 29 ธ.ค.67 ผู้ชายชาวพม่าคนนี้ ได้ส่งข้อความมาหาตนในอินสตาแกรม พูดเชิงว่า “ทำไมผู้ชายถึงไม่ค่อยเห็นคุณค่าของผู้หญิง” ตนก็เลยได้ต่อไปแบบปัดๆ ส่งๆ ว่า “สงสัยผู้ชายคงคิดแต่เรื่องแบบนั้นมั้ง เขาคงไม่ได้มองหารักแท้” แล้วผู้ชายคนดังกล่าวก็ยังส่งข้อความกลับมาตนอีกเรื่อยๆ จนตนรู้สึกว่ามันแปลกๆ เลยบล็อกอินสตาแกรมของผู้ชายคนนี้ไป

หลังจากนั้นเขาก็ได้สมัครอินสตาแกรมใหม่ เพื่อที่จะทักตนมา พอตนมองรูปประโยคแล้วจำได้ว่าเป็นคนเดิม ตนก็ได้บล็อกไปอีกรอบ ต่อมาเขาก็มีการสร้างแอคเคาท์ทั้งในเฟซบุ๊ก ติ๊กต็อก และอินสตาแกรม ทักตนเข้ามาเป็นรูปแบบประโยคเดิมๆ ซ้ำๆ กว่า 10 แอคเคาท์ ซึ่งตนก็ไล่บล็อกหมด

จนกระทั่งวันที่ 26 เม.ย.ที่ผ่านมา ผู้ชายคนดังกล่าวส่งข้อความมาข่มขู่ตน ครั้งแรกเป็นภาษาอังกฤษ แปลเป็นไทยประมาณว่า “กล้าดียังไงมาบล็อกกู เลขห้องมึงเลขอะไร บอกกูมา เดี๋ยวกูจะเอาตัวมึงไป” หลังจากนั้นวันที่ 27 เม.ย. ก็ได้มีเบอร์แปลกโทรเข้ามาหาตน ตอนแรกนึกว่าเป็นเลขาที่เมืองไทยของลูกค้าโทรมาคอนเฟิร์ม ซึ่งตนนัดประชุมช่วงเที่ยงคืน เพราะตนทำงานกับชาวต่างชาติ

แต่พอตนรับสายแล้วสายมันแปลกๆ มันไม่ใช่เหมือนที่ตนเคยคุย ตนก็เลยกดวางสายไป แล้วเขาก็โทรมาอีกรอบ ตนก็เลยให้แฟนรับ ซึ่งแฟนก็สนทนาภาษาอังกฤษกับเขาว่า “คุณเป็นใคร คุณทำแบบนี้ทำไมคุณโทรแบบนี้มันก่อกวนนะ” ซึ่งเขาก็ได้ตอบเป็นภาษาอังกฤษแค่ว่า “แล้วไง” และกดวางสายไป แล้วเขาก็โทรกลับมาอีกรอบ คราวนี้เริ่มเป็นการข่มขู่ถึงขั้นที่ทำให้ตนกลัว

โดยบอกว่า “มึงจะลงมาเจอหน้ากูดีๆ หรือมึงจะต้องให้กูขึ้นไปทำให้มึงเป็นศพ หรือจะลงมาแบบเป็นศพทั้งคู่” หลังจากนั้นตนก็รู้สึกเริ่มไม่ปลอดภัย ตนเลยโทรหานิติบุคคล แล้วแจ้งว่า มีบุคคลนี้มาที่คอนโดนี้จริงหรือเปล่า ถ้าเกิดว่ามีจริงรบกวนแจ้งกลับมาหน่อย ซึ่งนิติบุคคลก็แจ้งกลับมาว่า มีบุคคลดังกล่าวมารอจริง ตนจึงโทรแจ้ง 191 และ 191 ก็ประสานงานไปที่ สน.บางขุนเทียน ส่งตำรวจมาดู แต่ ณ เวลานั้น มันไม่สามารถที่จะยอมความหรือไกล่เกลี่ยกันได้แล้ว ตนก็เลยขอให้คุมตัวเขาไปที่ สน.บางขุนเทียน เพื่อที่จะไปแจ้งความดำเนินคดี

เมื่อมาถึงที่ สน.บางขุนเทียน ตนก็แจ้งกับตำรวจว่า ต้องการจะฟ้องร้อง เป็นการร้องทุกข์เพื่อขอแจ้งความดำเนินคดีอาญา แต่ตำรวจแจ้งว่าเหตุยังไม่เกิด ยังไม่สามารถแจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดีได้ ตนก็โอเค หลังจากนั้นตำรวจก็ส่งไปที่ห้องสืบสวน ตำรวจสืบสวนก็ได้สอบประวัติ ถ่ายรูป บันทึกทำประวัติอาชญากรรมไว้ แต่มีขั้นตอนการเช็คเอกสาร ที่มีการตรวจสอบเอกสารไม่รอบคอบ คือแค่เช็คพาสปอร์ตในหน้าโทรศัพท์แล้วก็ปล่อยตัวกลับบ้าน

พอปล่อยตัวผู้ชายคนดังกล่าวกลับบ้านไป ไม่ถึง 24 ชั่วโมงหลังจากการแจ้งความ เขาก็ได้ส่งข้อความกลับมาอีกครั้งหนึ่ง ในวันที่ 28 เม.ย. ว่า “มันจะยังไม่สิ้นสุด มันจะยังไม่จบสิ้น แม้ว่าฉันจะต้องตาย” ตนจึงได้เดินทางไปที่ สน.บางขุนเทียน อีกรอบ เพื่อแจ้งความอัพเดทข้อมูลเพิ่มเติมกับตำรวจ แต่ก็ยังทำได้แค่ลงบันทึกประจำวัน ซึ่งรอบสอง ตนแจ้งชัดเจนเลยว่า ตนต้องการที่จะแจ้งความร้องทุกข์เพื่อขอดำเนินคดีทางกฎหมายให้ถึงที่สุด ร้อยเวรก็ยังแจ้งเหมือนเดิมว่า ก็เหตุมันยังไม่เกิด มันไม่สามารถทำยังไงได้ ต่อมาตำรวจก็ได้กักตัวของชายคนนี้ไว้ชั่วคราว จนเอกสารเขามาถึง ก็ได้ตรวจเอกสารค้นรถ พบว่าไม่มีเอกสารยืนยันการเป็นเจ้าของรถ รถก็โดนยึด รวมถึงยึดพาสปอร์ตตัวจริงไว้

หลังจากนั้นตนก็รู้สึกว่า ตำรวจยังพูดคำเดิมๆ อยู่ ยังบอกว่าตนคิดมาก ตนมโนไปเอง กังวลมากไปเอง ตนได้ลองโทรไปสอบถามกับตำรวจว่าเป็นยังไงบ้าง ปล่อยตัวเขาไปแล้วหรือยัง ตำรวจแจ้งว่า ปล่อยไปแล้ว แต่ว่าริบพาสปอร์ตกับรถเอาไว้ ซึ่งทำให้ตนรับรู้ได้ถึงความไม่ปลอดภัยแล้ว ตนเลยได้สอบถามกับตำรวจว่า ทำไมถึงไม่กักตัวเขาไว้ ตำรวจแจ้งว่า ไม่สามารถกักตัวได้ เนื่องจากมีเอกสารครบถ้วน

ตนก็เลยสอบถามกลับไปว่า “แล้วจะสามารถการันตีได้อย่างไง ว่าตนจะปลอดภัย จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับตนจริงๆ” ตำรวจก็ยังยืนยันคำเดิมเป็นครั้งที่สามว่า “มันก็ดูฟังน้องอยู่นะ มันไม่มีอะไรแล้วแหละ น้องอย่าคิดมากไปเองเลย ปล่อยๆ มันไปเหอะ” จนเช้าวันที่ 29 เม.ย. คือวันที่ตนเริ่มร้องหาสื่อ ต่อมาในวันที่ 30 เม.ย. หลังจากที่ตนได้โพสต์ออกไป ตำรวจก็ทำงานกันเร็วมาก ตอนนี้ผู้ต้องหาถูกฝากขังแล้วเรียบร้อย พร้อมถูกดำเนินคดีในข้อหาบุกรุกข่มขู่ คุกคามและก่อให้เกิดความรำคาญ

ตนไม่รู้จักผู้ชายคนนี้มาก่อน โดยส่วนตัวแล้วเวลามีใครทักมา ตนก็จะมองว่าเขาดูไม่แปลก ด้วยความที่ตนไม่ได้มองโลกในแง่ร้ายขนาดนั้น ตนก็ตอบคำถามไปแบบส่งๆ เพราะว่าสำหรับตน ถ้าเปิดข้อความอ่านแล้วไม่ตอบ มันเป็นอะไรที่ค่อนข้างจะเสียมารยาท ก็เลยตอบไปตามมารยาท แต่ก็ไม่คิดว่าเรื่องมันจะเลวร้ายถึงขนาดนี้

ทั้งนี้ตนไม่เคยเจอผู้ชายคนดังกล่าวมาก่อน เจอครั้งแรกก็คือตอนที่เขาบุกเข้ามาหาที่คอนโด ตนมองว่าการที่เขามาหาตนได้ อาจจะเป็นความประมาทของตน ในการทิ้งเบอร์โทรเอาไว้หน้าเพจ เผื่อลูกค้าต้องการที่จะติดต่อสอบถาม แต่ก็ไม่คิดว่าจะเจอคนๆ นี้เข้ามาทำแบบนี้ แต่ในเรื่องของที่อยู่ของตน ตนก็ไม่แน่ใจว่าเขาหาเจอได้อย่างไร ซึ่งกำลังรอเจ้าหน้าที่ตรวจสอบอยู่

อยากฝากถึงองค์กรตำรวจว่า ไม่จำเป็นต้องรอให้เรื่องเกิดขึ้นหรือมีเหตุด่วนเหตุร้ายเกิดขึ้นก่อน แค่เขามาบุกรุกหรือเข้ามาในเคหะสถานส่วนตัว มันก็ถือว่าเป็นการบุกรุก ถือว่าเหตุมันเกิดขึ้นแล้ว อย่ารอให้อะไรๆ มันสายเกินไปหรือเหตุการณ์มันแย่ลงกว่าเดิม จนเจ้าหน้าที่ไม่สามารถเข้าช่วยเหลือหรือปกป้องประชาชนคนไทยได้ทัน

ในตอนนี้ตนรู้สึกปลอดภัยขึ้นมาก เพราะตนได้รับรู้แล้วว่าทางผู้ต้องหาถูกฝากขัง ตนก็สามารถนอนหลับได้เต็มตา และมีความสบายใจมากขึ้นในการออกไปทำงาน

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน