เคยมีคำพูดในวงการกีฬาว่า ชีวิตของเหล่านักกีฬาศิลปะป้องกันตัวระดับตำนานแต่ละคนนั้นไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ พวกเขาต้องเผชิญกับช่วงเวลาแห่งความสุขและความทุกข์ที่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตได้ทุกเมื่อ และเป็นอุปสรรคความท้าทายที่ทุกคนต้องก้าวข้ามผ่านไปให้ได้
สิงห์ทองน้อย ป.เตละกุล คือหนึ่งในตำนานนักสู้ที่ผ่านชีวิตยากลำบากมาเช่นเดียวกัน เด็กหนุ่มจากจังหวัดนครราชสีมา ถูกเลี้ยงดูจากครอบครัวที่มีฐานะยากจน ทำงานรับจ้างหาเงินหล่อเลี้ยงชีวิตให้อยู่รอดไปวันๆ แต่ความยากจนข้นแค้นก็เป็นแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้เขาตัดสินใจเข้าสู่วงการหมัดมวย ด้วยหวังยกระดับฐานะครอบครัวให้สูงขึ้น
“พ่อแม่ผมทำงานหนักมาก ผมเลยออกไปหางานทำ ทำทุกอย่างเพื่อแบ่งเบาภาระครอบครัวด้วยการชกมวย ผมฝึกหนักทุกวัน จนบางครั้งรู้สึกเหนื่อย ท้อแท้จนอยากจะเลิก แต่เมื่อคิดถึงว่าเรากำลังทำเพื่ออนาคตของตัวเราและคนที่เรารัก ผมจึงตัดสินใจว่าจะหยุดไม่ได้ ผมต้องทำให้พวกเขามีความสุข” สิงห์ทองน้อย เล่าย้อนถึงวันวาน
สิงห์ทองน้อย ฝึกมวย หัดเตะกระสอบทรายที่ทำจากกระสอบข้าวเก่าๆในบ้าน รวมถึงออกไปซ้อมมวยกับเพื่อนตามศาลาวัด สิ่งเหล่านี้ช่วยหล่อหลอมให้เขาพัฒนาฝีมือตัวเองได้มากและเติบโตขึ้นมาเป็นนักมวยที่แข็งแกร่งในอนาคต
ผลของการทุ่มเทฝึกซ้อมอย่างหนัก และการขึ้นชกรายการต่างๆ ทำให้ชื่อของ “สิงห์ทองน้อย” กลายเป็นที่รู้จักในวงการหมัดมวย เก็บเกี่ยวประสบการณ์ สร้างชื่อเสียงให้ตัวเองมากยิ่งขึ้นจากการคว้าชัยชนะและรางวัลอันทรงเกียรติมากมาย และได้รับการยอมรับจากแฟนมวยในประเทศไทยจากผลงานความสำเร็จที่จับต้องได้นั่นคือเข็มขัดแชมป์มวยลุมพินี อันเป็นเข็มขัดที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด ที่เหล่านักมวยทุกคนใฝ่ฝันครอบครอง
สิงห์ทองน้อย ผ่านสังเวียนการชกมวยไทยมาไม่ต่ำกว่า 300 ไฟต์ เป็นมวยดังมีชื่อที่แฟนมวยเมืองไทยยอมรับฝีไม้ลายมือ เมื่อถึงจุดอิ่มตัว เขาก็ตัดสินใจแขวนนวมแล้วกลับไปใช้ชีวิตนอกสังเวียนด้วยการเป็นพ่อค้าขายนมแพะ กระทั่งทาง “อีโวล์ฟ เอ็มเอ็มเอ” (Evolve MMA) สถาบันกีฬาศิลปะป้องกันตัวชื่อดังจาก สิงคโปร์ เล็งเห็นความสามารถที่ยอดเยี่ยมของเจ้าตัว จึงชักชวนมาร่วมงาน
นักมวยไทยคนนี้ได้ฝึกฝนกีฬาศิลปะป้องกันตัวอยู่กับต้นสังกัดใหม่ที่ สิงคโปร์ ชีวิตความเป็นอยู่ของเขาดีขึ้น กระทั่งวันหนึ่งเขาต้องเผชิญข่าวร้ายเมื่อถูกตรวจพบว่าเป็นมะเร็งระยะที่สาม
“ตอนที่คุณหมอบอกอาการผม ผมช็อกมาก ไม่อยากเชื่อว่าตัวเองเป็นมะเร็ง และมีเนื้องอกออกมา 2 ซม.บริเวณจมูกของผม ยาวไปจนถึงต่อมน้ำเหลืองที่คอ ผมร้องไห้ เพราะรู้ตัวว่าต้องตายแน่นอน”
หลังตรวจพบว่าเป็นมะเร็ง ยอดนักมวยไทย ตระเวนรักษาตัวตามสถานพยาบาลต่างๆในสิงคโปร์ ทั้งเข้ารับการฉายรังสี รักษาด้วยเคมีบำบัด ขณะเดียวกันด้วยความที่เขามีรอยแผลจากการถูกรังสีเผาระหว่างรักษา ซึ่งเจ้าตัวยอมรับว่ารู้สึกเจ็บปวดอย่างมากกับการรักษาในช่วงนั้น เขาต้องใช้ชีวิตได้ยากลำบากกว่าเดิมที่แม้แต่ยกแขน เดินไปมายังทำได้ไม่ดีเท่าเดิม
แม้การรักษาอันแสนทรมานจะทำให้เพื่อนๆและครอบครัวอยากให้เขากลับมาใช้ชีวิตตามปกติ แต่เพราะใจรักในกีฬามวยไทยทำให้ สิงห์ทองน้อย อดทนเข้ารับการรักษาจนในที่สุดแพทย์ก็บอกข่าวดีที่สุดในชีวิตให้เขาฟังว่า เขาหายจากโรคมะเร็งแล้ว และนั่นก็ทำให้เขาได้เรียนรู้ว่าการมีชีวิตอยู่นั้นมีค่าเพียงใด
“ผมดีใจมาก มันทำให้ผมได้พบชีวิตใหม่ มองเห็นอนาคตของตัวเองและครอบครัวได้ชัดขึ้นกว่าเดิม”
หลังหายป่วยจากมะเร็ง สิ่งหนึ่งที่ไม่หายไปด้วยกับการรักษาครั้งนั้นคือความรักในกีฬามวยไทย เขาจึงมุ่งหวังใช้ชีวิตที่สองที่ได้รับมาเป็นแรงผลักดันที่จะกลับมาฟิตร่างกายและขึ้นสังเวียนที่เขารักอีกครั้ง และหลังจากฝึกซ้อม เตรียมร่างกายมาเป็นอย่างดี ในที่สุดนักมวยไทยวัย 38 ปี ก็จะได้ขึ้นเวทีสมใจในรายการ ONE: KINGDOM OF HEROES ที่ อิมแพค อารีน่า เมืองทองธานี วันที่ 6 ตุลาคม นี้ ซึ่งจะเจอกับคู่ต่อสู้อย่าง มาซาฮิเดะ คุโด้ จากญี่ปุ่น
สำหรับไฟต์ที่จะถึง สิงห์ทองน้อย เผยว่ารู้สึกตื่นเต้นมาก และตั้งใจอย่างยิ่งว่าจะเดินทางบนสังเวียนนี้ต่อไปเพื่อทำในสิ่งที่รัก รวมถึงทำเพื่อครอบครัว “ผมเชื่อว่านักกีฬาศิลปะป้องกันตัวที่ดี ต้องเป็นคนที่มีความรับผิดชอบ มีระเบียบวินัย พร้อมทำงานได้ทุกสถานการณ์ไม่ว่าจะเป็นหนักหรือเบา ขณะเดียวกัน ชีวิตการแข่งขันของผมตลอดอาชีพที่ผ่านมา ครอบครัวคือสิ่งที่คอยขับเคลื่อนและเป็นกำลังใจให้ผมมาตลอด ดังนั้นการทำทุกอย่างเพื่อให้พวกเขามีความสุขคือเป้าหมายสำคัญที่สุดของผม”
“ไฟต์นี้ ผมจะสู้เพื่ออนาคตของตัวผมเอง วันที่ 6 ตุลาคมนี้ ผมจะทุ่มเททุกสิ่งและคว้าชัยชนะมาให้ได้” สิงห์ทองน้อย จะได้ชกเป็นคู่ประกอบรายการ ศรีสะเกษ นครหลวงโปรโมชั่น ป้องกันแชมป์ สภามวยโลก (WBC) รุ่นซูเปอร์ฟลายเวต กับ อิราน ดิอาซ ผู้ท้าชิงเม็กซิกัน
ฝากถึงแฟนๆเป็นการทิ้งท้าย ซื้อบัตรชมการแข่งขัน ONE : KINGDOM OF HEROES ได้ที่ www.onefc.com หรือ www.thaiticketmajor.com
