ตราไก่เจ้าลูกหนังโลก โครแอตสุดยอดม้ามืด

ตราไก่เจ้าลูกหนังโลก โครแอตสุดยอดม้ามืดปีที่ผ่านมามีศึกลูกหนังอันยิ่งใหญ่ที่สุดอย่าง “ฟุตบอลโลก 2018” ให้กองเชียร์ได้ตามลุ้นกันตลอดทัวร์นาเมนต์ ซึ่งมีเรื่องน่าสนใจมากมายชวนกล่าวถึง

ฟุตบอลโลกหนนี้ที่รัสเซียรับหน้าเสื่อเจ้าภาพ เดิมทีหลายฝ่ายกังวลกันอย่างมากถึงเรื่องความปลอดภัย โดยเฉพาะเรื่องฮูลิแกนของแดนหมีขาวซึ่งขึ้นชื่อด้านความโหดอย่างมาก

อย่างไรก็ตาม ท้ายที่สุดแล้วต้องยอมรับว่ารัสเซียสามารถทำหน้าที่เจ้าภาพได้อย่างดีเยี่ยม ภาพรวมการแข่งขันเป็นไปอย่างราบรื่นตลอดทัวร์นาเมนต์ ไม่เกิดดรามาอะไรให้พูดถึงกันมากนัก และคงสร้างความประทับใจให้แขกผู้มาเยือนไม่น้อย

เช่นเดียวกับผลงานของทัพเจ้าถิ่น “หมีขาว” ก็น่าประทับใจเช่นกัน สามารถทะลุเข้าไปได้ไกลถึงรอบก่อนรองชนะเลิศ ซึ่งเป็นผลงานดีที่สุดนับตั้งแต่สหภาพโซเวียต ล่มสลาย ทั้งที่ก่อนเริ่มแข่งขันยังถูกมองว่าอาจตกรอบแบ่งกลุ่มด้วยซ้ำ

ส่วนผลงานของทีมอื่น “ตราไก่”ฝรั่งเศส ได้เฉลิมฉลองแชมป์โลกสมัยที่ 2 ด้วยสไตล์การเล่นที่รัดกุมแน่นอน แต่ก็เปี่ยมด้วยลวดลายจากฝีเท้าของบรรดาแข้งจอมเทคนิคในทีม ทำให้ก้าวไปสู่ความสำเร็จในครั้งนี้

ผลงานนี้ทำให้ ดิดิเยร์ เดส์ชองส์ นายใหญ่ของฝรั่งเศสเป็นคนที่ 3 ในประวัติศาสตร์ ที่ได้แชมป์โลกทั้งในฐานะนักเตะและกุนซือ ต่อจาก มาริโอ ซากัลโล ของบราซิล และ ฟรานซ์ เบกเคนเบาเออร์ ของเยอรมนี

แต่ทีมที่ผู้คนกล่าวขวัญยิ่งกว่า กลับเป็นม้ามืด “ตาหมากรุก”โครเอเชีย ที่มี ลูกา โมดริช กองกลางสุดแกร่ง ช่วยทีมไปไกล เกินคาด

ตราไก่เจ้าลูกหนังโลก โครแอตสุดยอดม้ามืด

ลูกา โมดริช

เมื่อทะลุเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศหนแรกในประวัติศาสตร์ แม้สุดท้ายจะอกหักได้แค่รองแชมป์ ทว่าเท่านี้ก็ประทับใจคนทั้งโลกแล้ว

ขณะที่อันดับ 3 เบลเยียม ถือเป็นผลงานตามมาตรฐานเมื่อเทียบกับขุมกำลังที่พร้อมพรั่งด้วยแข้งชั้นยอด ส่วนอันดับ 4 อังกฤษ แม้จะใช้แข้งวัยหนุ่มเป็นหลัก แต่กลับมีผลงานที่ดีเกินคาด จนทำท่าว่าจะได้ลุ้นแชมป์เลยด้วย

ด้านทีมที่ต่ำกว่ามาตรฐาน “แซมบ้า”บราซิล อดีตแชมป์โลก 5 สมัย ผ่านรอบแบ่งกลุ่มมาแบบกระท่อนกระแท่น จากนั้นเข้ารอบ น็อกเอาต์ก็ไม่ได้ดีขึ้นเท่าไรนัก สุดท้ายถูกเบลเยียมเขี่ยตกรอบก่อนรองชนะเลิศ

“กระทิงดุ”สเปน อดีตแชมป์โลก 1 สมัย ก่อนเริ่มทัวร์นาเมนต์มีดรามาเมื่อสั่งปลดยูเลน โลเปเตกี พ้นตำแหน่งกุนซือ เนื่องจากดอดไปรับงานคุมเรอัล มาดริด ล่วงหน้าโดยไม่แจ้งสหพันธ์ลูกหนังกระทิง จากนั้นฟอร์มการเล่นของสเปนจึงเป็นไปอย่างน่าขัดหูขัดตา ผ่านรอบแบ่งกลุ่มมาแบบหืดจับ ก่อนจะโดนเจ้าภาพรัสเซียอัดตกรอบ 16 ทีมสุดท้าย

“ฟ้าขาว”อาร์เจนตินา อดีตแชมป์โลก 2 สมัย ภายใต้การคุมทัพของ ฆอร์เก ซามปาโอลี เล่นแย่มากจนเกือบจะไม่ผ่านรอบแบ่งกลุ่มด้วยซ้ำ ท่ามกลางเสียงวิจารณ์ว่ากุนซือเลือกใช้งานนักเตะไม่ได้เรื่อง และยึดติดกับสตาร์อย่าง ลิโอเนล เมสซี มากเกินไป ก่อนจะโดนแชมป์โลกอย่างฝรั่งเศสเขี่ยตกรอบ 16 ทีมสุดท้าย

ตราไก่เจ้าลูกหนังโลก โครแอตสุดยอดม้ามืด

อินทรีเหล็กอกหัก

แต่ที่หนักสุดต้องยกให้ “อินทรีเหล็ก”เยอรมนี อดีตแชมป์โลก 4 สมัย และแชมป์เก่าปี 2014 พลาดท่าแพ้ทีมที่ชื่อชั้นเป็นรองอย่างเม็กซิโกและเกาหลีใต้ ไม่เพียงแค่จอดป้ายรอบแรก แต่ยังจบเส้นทางในฐานะบ๊วยของกลุ่มชนิดหมดลายความยิ่งใหญ่ในอดีต

อีกประเด็นหนึ่งที่หลายฝ่ายให้ความสนใจในฟุตบอลโลกหนนี้ต้องยกให้เทคโนโลยีวิดีโอช่วยตัดสิน หรือวีเออาร์ ที่นำมาใช้เป็นครั้งแรก ซึ่งผลออกมาดูเหมือนว่าจะเป็นไปในแง่บวก เนื่องจากช่วยในการตัดสินจังหวะสำคัญได้หลายครั้ง และไม่มีข้อผิดพลาดอันน่าเกลียดเกิดขึ้น

นอกจากนี้ยังมีกฎใหม่ที่ใช้ตัดสินหาทีมรอบแบ่งกลุ่มสู่รอบน็อกเอาต์อย่าง คะแนนแฟร์เพลย์ ซึ่งจะคิดจากได้ใบเหลือง 1 ใบ เท่ากับ -1 คะแนน ได้สองใบเหลืองเป็น 1 ใบแดง เท่ากับ -3 คะแนน ส่วนใบแดงโดยตรง 1 ใบ เท่ากับ -4 คะแนน ขณะที่ได้ใบเหลืองเตือน แล้วโดนใบแดงโดยตรง จะนับเป็น -5 คะแนน

ญี่ปุ่นและเซเนกัลต่างมี 4 คะแนนจากผลงานลงสนาม 3 นัด แถมประตูได้เสียและเฮดทูเฮดดันเท่ากันหมด แต่เมื่อนับแฟร์เพลย์แล้ว “ซามูไร” ดันได้ใบเหลืองน้อยกว่า จึงเข้ารอบในฐานะรองแชมป์กลุ่มเอช เป็นทีมแรกในประวัติศาสตร์ที่ผ่านรอบแบ่งกลุ่มฟุตบอลโลกด้วยกติกานี้

หลังจากจบศึกฟุตบอลโลกแล้วยังมีทัวร์นาเมนต์ทีมชาติต่อเนื่องอย่างยูฟ่า เนชันส์ ลีก ซึ่งเป็นการแข่งขันอุ่นเครื่องรูปแบบใหม่ของชาติในโซนยุโรป โดยแบ่ง 55 ชาติสมาชิกยูฟ่าออกเป็น 4 ลีก ตามลำดับคะแนนค่าสัมประสิทธิ์

การแข่งขันรอบแบ่งกลุ่มแต่ละลีกจะเตะแบบพบกันหมดแบบเหย้า-เยือน โดยแต่ละลีกคัดทีมแชมป์ กลุ่มเลื่อนชั้นสู่ลีกบน ส่วนบ๊วยกลุ่มต้องตกชั้นลงไปลีกล่าง

ศึกดังกล่าวยังมีผลต่อการคัดเลือกเข้าสู่ศึกยูโร 2020 โดยทีม 4 อันดับดีสุดของแต่ละลีกที่ไม่ได้ไปเล่นรอบสุดท้ายจากโควตารอบคัดเลือก จะได้มาเตะเพลย์ออฟกันในหมู่ทีมกลุ่มเดียวกันเองอีกที เท่ากับจะได้อีก 4 ทีมไปรวมกับ 20 ทีมที่ตีตั๋วจากรอบคัดเลือก รวมเป็น 24 ทีมพอดี

ตราไก่เจ้าลูกหนังโลก โครแอตสุดยอดม้ามืด

กังหันสีส้มเฮ

เมื่อรอบการแข่งขันแต่ละลีกได้เสร็จสิ้นลงไปแล้ว ผลปรากฏว่า 4 ชาติจากลีกเอที่เข้าสู่รอบชิงแชมป์หนแรกมี “กังหันสีส้ม”เนเธอร์แลนด์, “นาฬิกา” สวิตเซอร์แลนด์, “ฝอยทอง” โปรตุเกส และ “สิงโตคำราม” อังกฤษ ซึ่งทั้งหมดนี้จะมาดวลหาแชมป์กันอีกทีในปี 2019 มีโปรตุเกสรับหน้าเสื่อเจ้าภาพรอบน็อกเอาต์นี้

ขณะที่แชมป์โลกรายล่าสุดอย่างฝรั่งเศสเกือบจะได้เข้ารอบเช่นกัน แต่พลาดท่าให้ความแรงช่วงท้ายของเนเธอร์แลนด์ จึงโดนปาดหน้าแย่งแชมป์กลุ่มของลีกเอไปอย่างน่าเจ็บใจ

ส่วนรองแชมป์โลกโครเอเชียอยู่ในช่วงถ่ายเลือดใหม่หลังขุนพลหลักชุดฟุตบอลโลกพากันประกาศอำลาทีมชาติหลายราย กระนั้นก็ยังได้ลุ้นเลื่อนชั้นถึงนัดสุดท้าย แต่พลาดไปนิดเดียวจึงกลายเป็นต้องตกชั้นสู่ลีกบีแทน

ด้านเยอรมนีต้องบอกว่านี่เป็นปีแห่งความมืดมน หลังจากล้มเหลวในฟุตบอลโลกแล้วยังย่ำแย่ต่อเนื่องจนถึงทัวร์นาเมนต์นี้

ตลอดทั้ง 4 เกมที่เจอตราไก่และกังหัน สีส้ม อินทรีเหล็กไม่สามารถคว้าชัยชนะได้เลยแม้แต่นัดเดียว จึงดิ่งตกชั้นไปตั้งแต่ยังไม่ทันถึงนัดสุดท้ายด้วยซ้ำ

สำหรับทีมที่ได้เลื่อนชั้นสู่ลีกที่สูงขึ้นในการแข่งขันครั้งต่อไป ลีกบี : ยูเครน, สวีเดน, บอสเนีย, เดนมาร์ก ลีกซี : สกอตแลนด์, ฟินแลนด์, นอร์เวย์, เซอร์เบีย ลีกดี : จอร์เจีย, เบลารุส, โคโซโว, มาซิโดเนีย โดยทั้ง 4 ทีมอันดับดีที่สุดแต่ละลีกที่กล่าวมา ได้รับประกันแล้วว่าจะไปเพลย์ออฟชิงตั๋วสู่รอบสุดท้ายยูโร 2020 กรณีไม่สามารถคว้าโควตาจากรอบคัดเลือกปกติได้

ทั้งนี้ ในปีหน้าจะมีรอบคัดเลือกฟุตบอลยูโร 2020 เริ่มเผดียงแข้งกัน ต้องมาลุ้นกันว่าท้ายที่สุดแล้วทีมใดจะคว้าตั๋วสู่รอบสุดท้ายบ้าง ยักษ์ล้มจะฟื้นขึ้นมาได้หรือไม่ ทีมหน้าใหม่จะมาแรงอีกเยอะแค่ไหน รับรองสนุกแน่นอน !!

คลิกอ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

 

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน