การแข่งขันฟุตบอลยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่มนัดสุดท้าย เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม กลุ่มอี “หงส์แดง”ลิเวอร์พูล จากอังกฤษ เปิดสนามแอนฟิลด์รับการมาเยือนของสปาร์ตัก มอสโก จากรัสเซีย

นัดนี้เจเกน คล็อปป์ กุนซือชาวเยอรมันของเจ้าบ้าน มอบปลอกแขนกัปตันทีมให้ ฟิลิปเป คูตินโญ ตัวรุกเชิงสูงชาวบราซิล นำทัพหงส์แดงลงทำศึก ประสานงาน 3 เครื่องจักรสังหารประตู โรแบร์โต ฟีร์มิโน, โมฮาเหม็ด ซาลาห์, ซาดิโอ มาเน ที่ลงประสานงานในแดนหน้าพร้อมหน้า ส่วนทีมเยือนมี เซ ลุยส์, ลุยซ์ อาเดรียโน, ควินซี โพรเมส เป็นตัวจริง

เริ่มเกมได้แค่ 3 นาที ฟิลิปเป คูตินโญ โยนบอลเข้าเขตโทษหวังให้ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ลุ้นทำประตู แต่ดาวเตะทีมชาติอียิปต์ถูก จอร์จี ชิคิยา ดึงล้มลงในจังหวะแย่งลูกกันเล่น ผู้ตัดสินเป่าให้ลิเวอร์พูลได้จุดโทษ แบบไม่รีรอ คูตินโญรับหน้าที่สังหารไม่เหลือ “หงส์แดง” จึงออกนำเร็ว 1-0

นาที 15 โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ได้บอลแล้วจ่ายต่อจังหวะเดียวให้ โรแบร์โต ฟีร์มิโน หลุดเข้ากรอบเขตโทษด้านขวา ฟีร์มิโนรอจังหวะตบบอลไปทางด้านซ้ายให้ ฟิลิปเป คูตินโญ ปราดเข้ามายิงไม่เหลือ สกอร์กลายเป็น 2-0

นาที 19 ซาดิโอ มาเน ตัดบอลได้จากกลางสนามแล้วพาห้อตะบึงขึ้นมาก่อนงัดเข้าเขตโทษไปติดกองหลังสปาร์ตัก แต่บอลยังมาตกตรงหน้า โรแบร์โต ฟีร์มิโน ยิงเสยตาข่ายเข้าไปไม่พลาด ลิเวอร์พูลทิ้งห่าง 3-0 และจบครึ่งแรกไปด้วยสกอร์นี้

ครึ่งหลังนาที 47 เจมส์ มิลเนอร์ ลงสนามมาแทนอัลแบร์โต้ โมเรโน่ แบ๊กซ้ายชาวสเปน ที่ได้รับบาดเจ็บช่วงปลายครึ่งแรก เติมเกมรุกขึ้นมาถึงสุดเส้นหลังฝั่งซ้ายก่อนบรรจงเปิดเท้าชั่งทองข้ามไปเสาสอง ซาดิโอ มาเน ยืนโล่งๆกระโดดวอลเลย์ด้วยเท้าขวาโดยไม่จับ บอลพุ่งเสียบตาข่ายแบบสุดงาม เจ้าถิ่นนำห่าง 4-0

สกอร์ของเจ้าบ้านยังไหลต่อเนื่อง นาที 50 ฟิลิปเป คูตินโญ สอดเข้ามารับบอลแถวเส้นเขตโทษแล้วยิงแฉลบกองหลังที่เข้ามาบล็อก บอลเปลี่ยนทางกระดอนพื้นผ่านมือผู้รักษาประตูเข้าไป หงส์แดงนำหายห่วง 5-0 พร้อมกับเป็นแฮตทริกของแข้งทีมชาติบราซิลด้วย

นาที 76 แดเนียล สเตอร์ริดจ์ ที่ได้ลงสนามแทนฟีร์มิโนหลุดเข้ามาในกรอบเขตโทษฝั่งขวา ตบเข้ากลางต่อให้ ซาดิโอ มาเน แม้บอลจะย้อนหลังไปนิด แต่ปีกความเร็วสูงจากเซเนกัลไม่ปล่อยโอกาสทองหลุดลอย ยังใช้ขาเกี่ยวส่งบอลเข้าประตูได้อย่างยอดเยี่ยม สกอร์ขยับหนีไป 6-0

นาที 86 ลิเวอร์พูลโยนบอลยาวเข้าเขตโทษ เจมส์ มิลเนอร์ โขกชงเข้ากลาง แดเนียล สเตอร์ริดจ์ หลอกข้ามบอลปล่อยให้ไปถึง โมฮาเหม็ด ซาลาห์ จับบอลแล้วล็อกหลอกกองหลังจนหลงทาง ก่อนซัดขวาเข้าไปอย่างเด็ดขาด เจ้าถิ่นนำแบบมโหฬาร 7-0 และเกมจบลงด้วยสกอร์นี้ในที่สุด

อีกคู่กลุ่มเดียวกัน มาริบอร์ จากสโลวีเนีย เสมอ เซบีญา จากสเปน 1-1 เจ้าถิ่นนำก่อนจาก มาร์กอส ตาวาเรส นาที 10 แต่ทีมเยือนมาตีเสมอจาก กานโซ นาที 75

ลิเวอร์พูล ผงาดเป็นแชมป์กลุ่ม เก็บ 12 แต้มจาก 6 นัด อันดับ 2 เซบีญา 9 แต้ม กอดคอกันเข้ารอบทั้งคู่ อันดับ 3 สปาร์ตัก 6 แต้ม ลงไปยูฟ่า ยูโรปา ลีก อันดับ 4 มาริบอร์ 3 แต้ม ตกรอบ

(Reuters)

กลุ่มเอฟ ชัคเตอร์ โดเน็ตส์ก จากยูเครน เอาชนะ “เรือใบสีฟ้า”แมนเชสเตอร์ ซิตี้ จากอังกฤษ 2-1 ที่เข้ารอบไปแล้วและทำสถิติชนะรวดมา 5 นัด เจ้าถิ่นได้จาก แบร์นาร์ด นาที 26, อิสมาลี นาที 32 ส่วนทีมเยือนได้จาก เซร์คิโอ อเกโร นาที 90(จุดโทษ)

อีกคู่ในกลุ่มนี้ เฟเยนูร์ด จากเนเธอร์แลนด์ ชนะ “อัซซูรา”นาโปลี จากอิตาลี 2-1 เจ้าถิ่นได้จาก นิโคไล ยอร์เกนเซน นาที 33, เยเรมีอาห์ เซนต์ ยุสต์ นาที 90 ส่วนทีมเยือนได้จาก ปิโอเตอร์ ซีลินสกี นาที 2 โดยเฟเยนูร์ดเหลือ 10 คน ทอนนี วิเลนา โดนไล่ออกนาที 83

แมนฯซิตี้ชวดทำสถิติชนะรวด แต่ยังได้แชมป์กลุ่ม 15 แต้มจาก 6 นัด อันดับ 2 ชัคเตอร์ 12 แต้ม เข้ารอบทั้งคู่ อันดับ 3 นาโปลี 6 แต้ม ไปเล่นยูฟ่า ยูโรปา ลีก อันดับ 4 เฟเยนูร์ด 3 แต้ม ตกรอบ

(Reuters)

กลุ่มจี ปอร์โต จากโปรตุเกส เอาชนะ โมนาโก จากฝรั่งเศส 5-2 เจ้าถิ่นได้จาก แว็งซ็องต์ อาบูบาการ์ นาที 9 และ 33, ยาซีน บราฮิมี นาที 45, อเล็กซ์ เตลเลส นาที 66, ติกินโญ โซอาเรส นาที 88 ส่วนโมนาโกได้จาก คามิล กลิก นาที 61(จุดโทษ), ราดาเมล ฟัลเกา นาที 78

เกมนี้ทั้งคู่เหลือ 10 คน เฟลิเป ของปอร์โต และราชิด เกซซัล โดนไล่ออกพร้อมกันนาที 38

ผลอีกคู่ ไลป์ซิก จากเยอรมนี แพ้ต่อ เบซิกตัส จากตุรกี 1-2 ทีมเยือนได้จาก อัลบาโร เนเกรโด นาที 10, อันแดร์สัน ทาลิสกา นาที 90 ส่วนเจ้าถิ่นได้จาก นาบี เกอิตา นาที 87 โดยเจ้าถิ่นเหลือ 10 คน สเตฟาน อิลซานเคอร์ โดนไล่ออกนาที 82

เบซิกตัสเป็นแชมป์กลุ่ม 14 แต้มจาก 6 นัด อันดับ 2 ปอร์โต 10 แต้ม เข้ารอบทั้งคู่ อันดับ 3 ไลป์ซิก 7 แต้ม ไปยูฟ่า ยูโรปา ลีก อันดับ 4 โมนาโก 2 แต้ม ตกรอบ

(Reuters)

กลุ่มเอช “ราชันชุดขาว”เรอัล มาดริด แชมป์เก่าจากสเปน เอาชนะ “เสือเหลือง”โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ จากเยอรมนี 3-2 เจ้าถิ่นได้จาก บอร์ฆา มาโยรัล นาที 8, คริสเตียโน โรนัลโด นาที 13, ลูคัส บาซเกซ นาที 81 ส่วนทีมเยือนได้จาก ปิแอร์-เอเมอริก โอบาเมย็อง นาที 43 และ 49

อีกคู่ “ไก่เดือยทอง”ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ จากอังกฤษ ชนะ อาโปเอล จากไซปรัส 3-0 เจ้าถิ่นได้จาก เฟร์นานโด ยอเรนเต นาที 20, ซน ฮึง-มิน นาที 37, ชอร์เชส์-เกวิน เอ็นกูดู นาที 80

สเปอร์สเป็นแชมป์กลุ่ม 16 แต้มจาก 6 นัด อันดับ 2 มาดริด 13 แต้ม เข้ารอบทั้งคู่ อันดับ 3 ดอร์ทมุนด์ 2 แต้มเท่าอันดับ 4 อาโปเอล แถมเฮดทูเฮดยังเท่ากันด้วย จึงต้องตัดสินด้วยการนับประตูได้เสีย ปรากฏว่าดอร์ทมุนด์ประตูได้เสียดีกว่า จึงได้ไปยูฟ่า ยูโรปา ลีก ส่วนอาโปเอลตกรอบ

ทั้งนี้การจับสลากประกบคู่ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก รอบน็อกเอ๊าต์ 16 ทีมสุดท้าย จะมีขึ้นในวันจันทร์ที่ 11 ธ.ค.นี้ ตรงกับเวลาเมืองไทยประมาณ 18.00 น.

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน