“เมืองปราสาทหิน ถิ่นภูเขาไฟ ผ้าไหมสวย รวยวัฒนธรรม” นี่คือคำขวัญประจำจังหวัดของบุรีรัมย์ เมื่อก่อนจังหวัดแห่งนี้แห้งแล้งกันดารจนได้มีคำกล่าวว่า “มาบุรีรัมย์ ต้องตำน้ำกิน” โดยมีต้นไม้ประจำจังหวัดคือต้นแปะ (แป๊ะ) หากมีใครเอ่ยคำโบราณที่ว่าจะไปเมืองแปะขอให้เข้าใจได้เลยว่ากำลังเดินทางไปบุรีรัมย์ ในอดีตจังหวัดแห่งนี้เป็นเมืองเล็กๆ ที่ไม่มีใครอยากมา เรียกว่าเมืองผ่านเพื่อไปยังเมืองอื่นๆ คงไม่ผิด

ปัจจุบันบุรีรัมย์กลายเป็นสัญลักษณ์ทางการกีฬาที่ใหญ่ที่สุดของภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จากการก่อตั้งขึ้นของ “ปราสาทสายฟ้า”บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด สโมสรฟุตบอลอาชีพที่เปลี่ยนเมืองเหงาให้กลายเป็นสถานที่ของกีฬา จากที่ไม่มีอะไรน่าสนใจกลายเป็นที่จับตาจากทุกมุมในภูมิภาค ทวีป หรือบางครั้งอาจเลยไปถึงระดับโลกแล้ว เจอมาแล้วทุกระดับทั้งในประเทศอย่างฟุตบอลไทยลีก ระดับทวีปในถ้วยเอเอฟซี แชมเปียนส์ลีก และล่าสุดเป็นหน้าเสื่อจัดการแข่งขันจักรยานยนต์ชิงแชมป์โลก (โมโตจีพี) นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมกีฬาอื่นๆ ผุดขึ้นที่เมืองแห่งนี้อย่างต่อเนื่อง ถึงขนาดพ่อเมืองมีความคิดเปลี่ยนคำขวัญประจำจังหวัดด้วยการเติมคำว่า “เลิศล้ำเมืองกีฬา” เข้ามาต่อท้าย

ประเด็นใหญ่ใจความนั่นคือการที่บุรีรัมย์ตัดสินใจซื้อสิทธิ์สโมสรฟุตบอลจากการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคแล้วเข้ามาบริหารเองพร้อมกลับเปลี่ยนชื่อเป็นบุรีรัมย์ พีอีเอ ตามด้วยบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ในปัจจุบัน จากทีมที่ไม่มีใครสนใจแต่ด้วยความที่ผู้บริหารกล้าได้กล้าเสียยอมทุ่มทุนจนผลักดันให้ทีมกลายเป็นเต้ยแห่งวงการลูกหนังไทย แซงหน้าเพื่อนบ้านอย่าง ศรีสะเกษ เอฟซี ที่อยู่กับวงการลูกหนังไทยมายาวนานแบบไม่เกรงใจ แถมมีส่วนผลักดันเศรษฐกิจองค์รวมจนกลายเป็นเมืองท่องเที่ยวทางด้านกีฬาไปโดยปริยาย

ถึงตอนนี้บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด กลายเป็นที่กล่าวขานไปทั่วจากปี 2009 ที่กลายร่างจากการไฟฟ้ามาเป็นบุรีรัมย์จนถึงทุกวันนี้สโมสรแห่งนี้คว้าไปแล้ว 5 แชมป์ไทยลีก 4 แชมป์เอฟเอคัพ 5 แชมป์ลีกคัพ 4 แชมป์ถ้วยพระราชทาน ก ก่อนจะกลายมาเป็นพรีเมียร์คัพซึ่งเก็บมา 3 สมัย ตบท้ายด้วย แม่โขงคลับแชมเปี้ยนชิพอีก 2 ครั้ง เรียกว่าตลอด 8 ปีที่ผ่านมาไม่เคยมีปีไหนที่ทีมจากภาคอีสานตอนล่างห่างหายจากถ้วยแชมป์

ฤดูกาลที่ผ่านมาบุรีรัมย์ออกสตาร์ตไม่สวยเท่าไหร่โดน “กิเลนผยอง”เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด แชมป์เก่าและอริสำคัญทำแต้มทิ้งห่างแบบไม่เห็นฝุ่นแต่สุดท้ายค่อยๆ เรียกฟอร์มเก่งทำแต้มไล่จี้พร้อมกับแซงและคว้าแชมป์ไทยลีกไปครองแบบไม่ต้องสนใคร ที่สำคัญยังทำสถิติเก็บถึง 86 แต้มในฤดูกาลเดียวเป็นทีมแรกของวงการลูกหนังแดนสยาม

ที่ผ่านมาแค่ผ่านไป แต่สำหรับซีซั่นใหม่จะเริ่มขึ้นในอีกไม่กี่ชั่วโมงนับจากนี้ ไม่ต้องยื่นคำถามคงได้คำตอบเพราะเป้ามีอย่างเดียวนั่นคือการเก็บแชมป์ทุกรายการในประเทศมาไว้ที่เมืองภูเขาไฟ ภายใต้การนำของ “บิ๊กเน”เนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสร ปัญหาคือจะทำได้หรือไม่เมื่อทีมเน้นนโยบายการสร้างนักเตะขึ้นมาเองและที่สำคัญต้องเป็นผู้เล่นท้องถิ่น

ปีนี้บุรีรัมย์ เสียกำลังสำคัญอย่าง แจ๊กสัน โคเอลโญ่ รองดาวซัลโวไทยลีกปีที่แล้วให้กับคู่แข่งอย่างเมืองทอง ยูไนเต็ด นอกจากนี้ยังปล่อย โก ซุล กิ กองกลางเกาหลีใต้กลับไปเล่นบ้านเกิด แถม กรวิทย์ นามวิเศษ เซ็นเตอร์แบ๊กตัวเก่งส่งไม้ต่อให้ พีทีที ระยอง เอาไปใช้งาน

ขณะที่ตัวหลักมีอายุอานามมากโขทั้ง สุเชาว์ นุชนุ่ม, จักรพันธ์ แก้วพรม, ศิวรักษ์ เทศสูงเนิน, อันเดรส ตูเนซ หรือแม้แต่ ดิโอโก หลุยส์ ซานโต อายุแตะเลขสามไปแล้ว ยังดีที่มี เอ็ดการ์ บรูโน่ ดาวยิงบราซิล ยู จุน ซู ดาวเตะสารพัดประโยชน์ชาวเกาหลีใต้ รวมถึง ฮอง วู แซมซัน ดาวรุ่งลูกครึ่งเวียดนาม-ไนจีเรีย มาเสริมบวกกับนักเตะที่รอวันแจ้งเกิดอย่าง ศศลักษ์ ไหประโคน, ศุภโชค สารชาติ, ศุภชัย ใจเด็ด, รัตนากรณ์ ใหม่คามิ ภายใต้การนำของ โบซิดาร์ บันโดวิช กุนซือใหญ่คงมีอะไรให้เห็นไม่น้อย

ด้วยขุมกำลังปัจจุบันที่ยังไม่เห็นชัดเจนว่าดีมากน้อยแค่ไหน เพียงพอต่อการเดินไปถึงเป้าหมายแชมป์ทุกรายในประเทศรวมถึงฟุตบอลสโมสรทวีปหรือไม่ แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด กลายเป็นขวัญใจ และเป็นจุดศูนย์รวมของคนบุรีรัมย์ หรือพื้นที่บริเวณรอบข้างอีกหลายจังหวัดไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

แม้อาจจะฟังดูเกินจริงแต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่าชั่วโมงนี้ปราสาทสายฟ้าคือลมหายใจของบุรีรัมย์

Breath Of Buriram

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน