นายจาตุรงค์ จันทรังษ์ เลขานุการ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เปิดเผยว่า ที่ประชุม กนง. เมื่อวันที่ 16 พ.ค. 2561 แถลงผลการประชุม มีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.50% ต่อปี โดยในการประชุมครั้งนี้ กรรมการ 1 ท่านลาประชุม โดยคณะกรรมการประเมินว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวได้ต่อเนื่อง โดยได้รับแรงส่งจากการส่งออกสินค้าและการท่องเที่ยวที่ปรับดีขึ้นต่อเนื่องตามเศรษฐกิจโลกที่ขยายตัว การบริโภคภาคเอกชนขยายตัวได้อย่างค่อยเป็นค่อยไป จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยังไม่ได้ส่งผลดีต่อรายได้ครัวเรือนและการจ้างงานอย่างทั่วถึง รวมทั้งหนี้ภาคครัวเรือนยังอยู่ในระดับสูง

ขณะที่การลงทุนภาคเอกชนปรับดีขึ้นต่อเนื่องโดยได้รับแรงสนับสนุนเพิ่มเติมจากโครงการภาครัฐ ขณะที่การใช้จ่ายภาครัฐจะเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจ แต่ยังมีความเสี่ยงจากการเบิกจ่ายที่อาจล่าช้ากว่าที่ประเมินไว้ นอกจากนี้ เศรษฐกิจไทยยังเผชิญกับความเสี่ยงภายนอกที่ต้องติดตามอย่างต่อเนื่อง อาทิ ผลกระทบจากความไม่แน่นอนของนโยบายเศรษฐกิจและการค้าของสหรัฐฯ มาตรการตอบโต้จากประเทศคู่ค้าของสหรัฐฯ รวมถึงความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์

“ที่ประชุมได้พูดถึงทิศทางการขยายตัวเศรษฐกิจไทยปี 2561 มีแนวโน้มดีกว่าที่คาดไว้ และมีโอกาสที่จะปรับขึ้นได้จากที่ประมาณการไว้เดิม 4.1% แต่ก็จะต้องดูการแถลงตัวเลขเศรษฐกิจไตรมาส 1/2561 ที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) จะแถลงวันที่ 21 พ.ค. นี้ อีกครั้ง”นายจาตุรงค์ กล่าว

อย่างไรก็ดี แม้ว่าหลายประเทศจะมีทิศทางการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ก็ไม่ได้เป็นแรงกดดันให้กับประเทศไทย เพราะไทยมีเสถียรภาพต่างประเทศในระดับที่ดี ทำให้มีอิสระในการดำเนินนโยบายการเงิน โดยพิจารณาปัจจัยภายในประเทศได้มากขึ้น ทั้งเรื่องอัตราเงินเฟ้อ และเสถียรภาพระบบการเงิน ซึ่งต่างกับประเทศไหนก็ตามถ้ามีเสถียรภาพต่างประเทศน้อย ก็จะได้รับผลกระทบมาก

นายจาตุรงค์ กล่าวว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปปรับสูงขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปตามที่ประเมินไว้ โดยเป็นผลจากการขยายตัวของอุปสงค์ในประเทศและราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้น โดยขณะนี้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปได้เข้าสู่กรอบล่าง ที่ ธปท. คาดการณ์ไว้แล้ว ตั้งแต่ช่วงเดือนเม.ย. ที่ผ่านมา ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ จากแรงกดดันเงินเฟ้อด้านอุปสงค์ยังอยู่ในระดับต่ำ

ด้านภาวะการเงินโดยรวมอยู่ในระดับผ่อนคลายและเอื้อต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจ สภาพคล่องในระบบการเงินอยู่ในระดับสูง อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลโดยรวมปรับเพิ่มขึ้นบ้าง ขณะที่อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงยังคงอยู่ในระดับต่ำ ทำให้ภาคเอกชนยังสามารถระดมทุนได้ต่อเนื่อง โดยสินเชื่อ SMEs และสินเชื่ออุปโภคบริโภคขยายตัวเพิ่มขึ้น ด้านอัตราแลกเปลี่ยน เงินบาทเทียบดอลลาร์สหรัฐ ปรับอ่อนค่าลง อย่างไรก็ดี เงินบาทเทียบสกุลเงินของประเทศคู่ค้าคู่แข่งไม่ได้เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัย และยังมีแนวโน้มผันผวน โดยมีสาเหตุหลักจากความไม่แน่นอนของนโยบายการเงิน การคลังและการค้าระหว่างประเทศของประเทศอุตสาหกรรมหลัก ซึ่งต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดต่อไป

นายจาตุรงค์ กล่าวว่า ระบบการเงินโดยรวมมีเสถียรภาพ แต่ยังต้องติดตามความเสี่ยงในบางจุดที่อาจจะสร้างความเปราะบางให้กับเสถียรภาพระบบการเงินได้ในอนาคต โดยเฉพาะพฤติกรรมแสวงหาผลตอบแทนที่สูงขึ้น (search for yield) ในภาวะอัตราดอกเบี้ยต่ำเป็นเวลานาน ซึ่งอาจน้าไปสู่การประเมินความเสี่ยงต่ำกว่าที่ควร (underpricing of risks) นอกจากนี้ ยังต้องติดตามความสามารถในการชำระหนี้ของภาคครัวเรือนและธุรกิจ SMEs โดยเฉพาะครัวเรือนกลุ่มรายได้ต่ำและธุรกิจ SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยเชิงโครงสร้างและรูปแบบการทำธุรกิจ

มองไปข้างหน้า เศรษฐกิจไทยในภาพรวมมีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากปัจจัยด้านต่างประเทศ แต่ต้องติดตามความเข้มแข็งของอุปสงค์ในประเทศและพัฒนาการของเงินเฟ้อในระยะต่อไปคณะกรรมการฯ จึงเห็นว่านโยบายการเงินควรอยู่ในระดับผ่อนปรนต่อไป โดยพร้อมใช้เครื่องมือเชิงนโยบายที่มีอยู่เพื่อสนับสนุนให้เศรษฐกิจขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง ควบคู่กับการรักษาเสถียรภาพระบบการเงินของประเทศ

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน