น.ส.ขัตติยา อินทรวิชัย กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่าแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของไทยในปีนี้ต่อเนื่องถึงปี 2560 ประเมินว่ายังคงไม่ปรับขึ้น เพื่อให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้ ในขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด มีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยตั้งแต่กลางเดือนธ.ค.ปีนี้ต่อเนื่องถึงปีหน้าอีก 2-3 ครั้ง ซึ่งจะทำให้อัตราดอกเบี้ยเฟดขยับขึ้นไปที่ 1.25% ซึ่งจะส่งผลทำให้มีเงินทุนเคลื่อนย้ายกลับไปที่สหรัฐอเมริกา โดยจะกระทบต่อค่าเงินบาทของไทยในปลายปีนี้ให้อ่อนค่าลงไปอยุ่ที่ 35.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ส่วนปีหน้ามีโอกาสที่จะอ่อนค่าไปอยู่ที่ 36 บาท

อย่างไรก็ดีภาพรวมเศรษฐกิจเริ่มจากยุโรปยังมีความเปราะบาง จากผลการโหวตออกจากสหภาพยุโรป (อียู) ของประเทศอังกฤษ (เบล็กซิท) ซึ่งในเดือนมี.ค.ปีหน้าประเทศอังกฤษ เริ่มจะเข้าสู่กระบวนการออกจากอียู รวมถึงในสิ้นปีนี้ประเทศอิตาลี ก็จะเริ่มมีการลงประชามติในเรื่องเดียวกันนี้ ทำให้เกิดความไม่ชัดเจน เช่นเดียวกับเศรษฐกิจจีนยังมีแนวโน้มชะลอตัวและเข้าสู่บรรทัดฐานใหม่ (New normal) ซึ่งจะมีผลกระทบต่อการส่งออกของไทย ในขณะที่ประเทศในภูมิภาคเอเชียมีการฟื้นตัวแบบช้าๆ แต่ยังมีความเสี่ยงในเรื่องเงินลงทุนจากต่างประเทศเคลื่อนย้ายออกไป สำหรับเศรษฐกิจไทยยังคงมีการเติบโตต่อเนื่องจากการพึ่งพาการลงทุนของภาครัฐ รวมถึงภาคการท่องเที่ยว ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐ มีแนวโน้มฟื้นตัวและต้องจับตาดูความชัดเจนของนโยบายว่าทีประธานาธิบดีคนใหม่ โดนัลด์ ทรัมป์

%e0%b8%98%e0%b8%99%e0%b8%b2%e0%b8%84%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b8%81%e0%b8%aa%e0%b8%b4%e0%b8%81%e0%b8%a3%e0%b9%84%e0%b8%97%e0%b8%a2-696x418

ส่วนประเด็นที่ต้องติดตามคือหนี้ครัวเรือนที่ยังเป็นภาระทำให้การใช้จ่ายภาคครัวเรือนยังเติบโตได้ไม่เต็มที่ ทำให้ธนาคารประเมินภาพรวมเศรษฐกิจปี 2560 มีแนวโน้มขยายตัวใกล้เคียงกับปีนี้ที่ 3.3% โดยมีปัจจัยหนุนจากการใช้จ่ายและการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐที่คาดว่าจะขยายตัว 8.5% ส่วนการลงทุนภาคเอกชนจะขยายตัว 2.8% ตัวเลขจากนักท่องเที่ยวต่างชาติจะยังเติบโตได้ที่ 4.8% ซึ่งเป็นเกณฑ์ที่ดีแม้จะชะลอตัวลงจากปีนี้ ส่วนการส่งออกขยายตัว 0.8% สำหรับธุรกิจที่มีแนวโน้มเติบโตได้ดีในปีหน้าคือธุรกิจก่อสร้าง จากบรรยากาศการลงทุนที่ค่อยๆฟื้นตัวและโครงการของรัฐ ธุรกิจยานยนต์ และจากการที่รถคันแรกทยอยสิ้นสุดลงจะเป็นผลดีต่อยอดขายในประเทศ ขณะที่การส่งออกรถยนต์และชิ้นส่วนมีโอกาสฟื้นตัวโดยเฉพาะตลาดอาเซียนและออสเตรเลีย ธุรกิจบริการสุขภาพที่ได้รับอานิสงส์จากกลุ่มลูกค้า Medical Tourism ซึ่งไทยมีความได้เปรียบหลายประเทศในภูมิภาค และธุรกิจท่องเที่ยวที่บางตลาดมีแนวโน้มดีขึ้น เช่น รัสเซียและสแกนดิเนเวีย

ด้านแนวโน้มผลประกอบการของธนาคารในปีนี้และปีหน้า อัตรากำไรจะใกล้เคียงปี 2558 ที่ทำได้ 3.94 หมื่นลบ โดยยอมรับหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ยังขยับขึ้นทำให้ธนาคารต้องตั้งสำรองเพิ่มขึ้น ส่วนสินเชื่อในปีหน้าตั้งเป้าหมายเติบโต 4-6% ภายใต้การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยที่ พร้อมกับมีแผนเปิดสาขาธนาคารในต่างประเทศเริ่มจากจีน จะมีสาขาท้องถิ่น ส่วนลาวจะเปิดอีก 1 สาขา เป็น 2 สาขา รวมถึงกัมพูชา อีก 1 สาขา ส่วนเวียดนาม อินโดนีเซีย และเมียนมา ปัจจุบันยังไม่มีสาขา แต่อยู่ระหว่างขออนุญาต คาดว่าจะเปิดได้ในปี 2561

ขณะเดียวกันปัจจุบันมีฐานลูกค้าที่ใช้บริการผ่านแอพพลิเคชั่นโมบายแบงก์กิ้งประมาณ 5 ล้านราย ซึ่งในปีนี้มีฐานลูกค้าที่ใช้บริการธุรกรรมการเงินผ่านช่องทางดิจิตัล 65% ซึ่งเติบโตค่อนข้างเร็วจากปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 60% ส่วนการใช้บริการในช่องทางอื่นๆ 35% และในปีหน้าตั้งเป้าขยายฐานลูกค้าที่ใช้บริการผ่านโมบายแบงก์กิ้งเพิ่มเป็น 7 ล้านราย และในปีหน้าธนาคารจะมีการทบทวนยุบรวมสาขาที่ลูกค้าใช้บริการน้อย เนื่องจากแนวโน้มลูกค้าหันไปใช้บริการโมบายแบงก์กิ้งมากขึ้น แต่อย่างไรก็ดีแนวโน้มการยุบรวมสาขาในระยะสั้นจะยังไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเนื่องจากพฤติกรรมของลูกค้าค่อยๆ เปลี่ยนไป แต่ในระยะยาวธนาคารคงต้องเปลี่ยนรูปแบบการให้บริการ

นายธีรนันท์ ศรีหงส์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่าในปีหน้าธนาคารได้ตั้งบงบประมาณด้านไอทีประมาณ 10% ของกำไรสุทธิ หรือประมาณ 4 พันล้านบาท และการลงทุนในรูปแบบเวนเจอร์ แคปปิตอล อีกประมาณ 2% ของกำไรสุทธิหรือ 1 พันล้านบาท เพื่อพัฒนานวตกรรมใหม่ๆ โดยธนาคารจะขยายการลงทุนในฟินเทคและสตาร์ทอัพผ่านเวนเจอร์แคปปิตอล ทั้งในไทยและภูมิภาคเอเชีย ซึ่งจะช่วยให้ธนาคารมีส่วนร่วมในการพัฒนานวัตกรรมหรือโมเดลธุรกิจใหม่ และการลงทุนผ่านกองทุนเพื่อการระดมทุน ซึ่งจะช่วยให้ธนาคารเข้าถึงแนวคิดนวัตกรรมระดับโลกได้อย่างรวดเร็ว

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน