ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ 18 มิ.ย. 2561 ดัชนีหุ้นไทยปิดปรับตัวลดลง 25.14 จุด มาอยู่ที่ 1,679.68 จุด ซึ่งเป็นจุดต่ำสุดของวัน ขณะที่ดัชนีสูงสุดอยู่ที่ 1,695.44 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 51,882.68 ล้านบาท

นายปริญญ์ พาณิชภักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ซี แอล เอส เอ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงสาเหตุที่ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลดลงกว่า 20 จุด โดย 1,700 จุด โดยคาดว่าเป็นการเทขายหุ้นไทยของนักลงทุนต่างชาติอย่างต่อเนื่อง และโดยส่วนตัวแล้วคาดว่ามีโอกาสที่ต่างชาติยังจะเทขายหุ้นไทยต่อเนื่องถึงไตรมาส 3 หรือมียอดขายสะสมสุทธิมากกว่า 200,000 ล้านบาท จากปัจจุบันขายสุทธิหุ้นไปแล้ว 162,813 ล้านบาท นับตั้งแต่ 1 ม.ค. – 15 มิ.ย. 2561 เนื่องจากทิศทางดอกเบี้ยอยู่ในช่วงขาขึ้น คาดการณ์ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับขึ้นดอกเบี้ยในปีนี้รวม 4 ครั้ง และความกังวลเรื่องสงครามการค้า ทำให้นักลงทุนทั่วโลกเทขายสินทรัพย์เสี่ยงเพื่อย้ายเงินทุนไปยังสินทรัพย์ปลอดภัยมากขึ้น

โดยผลกระทบราคาหุ้นที่ลดลงส่วนใหญ่เกิดกับตลาดเกิดใหม่ที่มีการเติบโตดีในช่วง 5-9 ปี หลังวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ซึ่งหากเทียบในภูมิภาคเดียวกัน ตลาดหุ้นไทยได้รับผลกระทบกระแสเงินทุนต่างชาติไหลออกน้อยกว่า อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม สะท้อนว่าไทยยังมีการรักษาระดับได้ดีกว่า

อย่างไรก็ดี นายปริญญ์ ยังกล่าวเชื่อมั่นว่าดัชนีหุ้นไทยจะเป็นไปตามเป้าหมายที่ 1,900 จุด โดยคาดหวังช่วงปลายปีรัฐบาลจะสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนต่างชาติ ด้านความชัดเจนทางการเมือง และกระตุ้นการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และการลงทุนในเขตระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี)

ด้านน.ส.ธีรดา ชาญยิ่งยงค์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียที่อิงไปในทางขาลง เป็นไปตามความกังวลเรื่องสงครามการค้าระหว่างจีน และสหรัฐฯ ซึ่งจะต้องติดตามความคืบหน้าต่อไป โดยมีผลในวันที่ 6 ก.ค.นี้ และยังต้องติดตามประเทศคู่ค้าอื่นของสหรัฐฯ ด้วย

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน