ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 19 มิ.ย. 2561 ดัชนีหุ้นไทยร่วงลงแรงต่อเนื่อง โดยปิดตลาดลดลง 40.14 จุด หรือลบ 2.39% มาอยู่ที่ 1,639.54 จุด ทั้งนี้ ดัชนีลงไปทำจุดต่ำสุดของวันที่ระดับ 1,633.72 จุด และสูงสุดที่ 1,674.28 จุด โดยมูลค่าการซื้อขายหนาแน่นที่ 84,628 ล้านบาท

อย่างไรก็ดี เพียง 2 วันทำการของสัปดาห์นี้ ดัชนีหุ้นไทยร่วงลงไปรวมแล้ว 65.28 จุด ขณะที่ความมั่งคั่งของตลาดหุ้นไทยในช่วง 2 วันที่ผ่านมาหายไปแล้ว 6.6 แสนล้านบาท หรือจาก 17.21 ล้านล้านบาท ในวันที่ 15 มิ.ย. เหลือ 16.55 ล้านล้านบาท ในวันที่ 19 มิ.ย.

นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ภายหลังตลาดหุ้นไทยปิดทำการ ว่า สาเหตุที่ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงแรง จากนักลงทุนต่างชาติทยอยขายหุ้นในเอเชีย เนื่องจากปัจจัยความไม่แน่นอนในต่างประเทศ ได้แก่ ความขัดแย้งทางการค้าของสหรัฐและจีน การปรับขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐ และความชัดเจนของการดึงเงินทุนไหลกลับของแต่ละประเทศ ทำให้เงินทุนไหลไปยังสินทรัพย์ปลอดภัย ส่งผลให้มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป) ตลาดหุ้นไทย ปรับตัวลดลงกว่า 1 ล้านล้านบาท จาก ม.ค. 2561 อยู่ที่ 18 ล้านล้านบาท และปัจจุบันอยู่ที่ 16.7-16.8 ล้านล้านบาท โดยนักลงทุนต่างชาติปรับพอร์ตหุ้นไทยครั้งใหญ่ในรอบ 2 ปี จากปี 2558 ที่มีการขายสุทธิประมาณ 7,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ แต่อย่างไรก็ตาม สัดส่วนการถือหุ้นของต่างชาติปัจจุบันยังอยู่ที่ ประมาณ 30-31% ใกล้เคียงกับช่วง พ.ค. 2560 เพราะที่ผ่านมาราคาหุ้นปรับตัวขึ้นสูงมาก และเป็นการขายในส่วนที่เป็นกำไรออกไปเป็นส่วนใหญ่

นายภากร ยังกล่าวด้วยว่า ประเมินว่าดัชนีหุ้นไทยจะดีดตัวกลับโดยใช้ระยะเวลาไม่นานมากนัก จากสถิติในอดีตที่เคยเกิดเหตุการณ์สำคัญ เช่น น้ำท่วมใช้ระยะเวลาดีดตัวกลับ 6 เดือน ปัญหาวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ 10 เดือน นอกจากนี้ เศรษฐกิจไทยถือว่าอยู่ในระดับแข็งแกร่งโดยจีดีพีไตรมาสแรกอยู่ที่ 4.2-4.7% การบริโภค 3.6% การลงทุน 3.4% และการส่งออก 9.9% ดังนั้นจึงไม่กังวลกับสถานการณ์เทขายของต่างชาติที่เกิดขึ้นมากนัก

ด้านนายวิจิตร อารยะพิศิษฐ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงแรงในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียที่ต่างติดลบกันถ้วนหน้า รับผลจากสงครามการค้าระหว่างจีน และสหรัฐฯ หลังจากที่สหรัฐฯ เตรียมจะเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเพิ่ม ในอัตรา 10% วงเงิน 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ส่วนจีนก็ออกมาตอบโต้ด้วยการว่าจะเก็บภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ ด้วยเช่นกัน ส่งผลให้สินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลกมีแรงขายออกมา

พร้อมกันนี้ตลาดหุ้นไทยยังเผชิญกับกระแสเงินทุนไหลออกจาก ซึ่งเป็นผลมาจากค่าเงินบาทที่อ่อนค่าแรงเร็วมาก ล่าสุดอยู่ที่ 32.8 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ จากก่อนหน้านี้อยู่ที่ 32 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ ส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติเทขายหุ้นไทยเพื่อล็อกกำไรไว้ก่อน ดังนั้นเรื่องทิศทางค่าเงินบาทเป็นสิ่งที่จะต้องจับตาอย่างใกล้ชิดด้วย

อย่างไรก็ดี แนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันที่ 20 มิ.ย. มีโอกาสที่จะเกิดเทคนิคเคิลรีบาวด์ หรือสัญญาณทางเทคนิคที่ตลาดหุ้นไทยจะดีดตัวกลับได้หลังจากที่ปรับตัวลงไปแรง แต่ทั้งนี้ตลาดฯ ก็ยังมีทิศทางขาลงอยู่ โดยมีแนวรับ 1,635 จุด ส่วนแนวต้าน 1,660 จุด

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน