นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท. ยังไม่มีความจำเป็นต้องรีบขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เมื่อพิจารณาจากอัตราเงินเฟ้อ ยังไม่มีแรงกดดัน และยังไม่เข้าสู่กรอบเป้าหมาย ขณะที่เศรษฐกิจยังคงค่อยๆ ฟื้นตัว ยังไม่ได้เป็นการฟื้นแบบกระจายตัว ดังนั้นการทำนโยบายการเงิน จะต้องมุ่งตอบโจทย์เศรษฐกิจภายในประเทศ แม้ว่าเราจะมีกันชนในเรื่องความแข็งแกร่ง แต่ก็ไม่ได้ชะล่าใจ ซึ่งการทำนโยบายการเงิน จะต้องพิจารณาข้อมูลต่อเนื่อง หลายองค์ประกอบ ไม่ได้พิจารณาเฉพาะอัตราเงินเฟ้อ และการฟื้นตัวเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้แม้โดยรวมจะเห็นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอย่างชัดเจน ตัวเลขทางเศรษฐกิจของประเทศอุตสาหกรรมหลัก และประเทศกำลังพัฒนา ฟื้นตัวชัดเจนขึ้น และเริ่มมีการทำนโยบายการเงินเข้าสู่ภาวะปกติ มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย แต่ก็ยังมีความเสี่ยงมากขึ้น โดยเฉพาะปัญหาแนวโน้มการกีดกันทางการค้าและมาตรการตอบโต้ทางการค้าของประเทศอุตสาหกรรมหลัก ก็มีความชัดเจนมากขึ้น และขยายวงกว้างออกไป

ทั้งนี้ ในส่วนของประเทศไทยจากมาตรการกีดกันทางการค้า ทำให้มีผลกระทบต่อการนำเข้าและการส่งออก จากการบิดเบือนการค้าระหว่างประเทศ ที่ประเทศผู้ผลิตไม่สามารถส่งสินค้าได้ ก็จะหาตลาดใหม่ เช่น ไทย ก็จะกระทบต่อผู้ประกอบการในประเทศ แม้ไทยจะไม่ใช่เป้าหมายโดยตรง แต่ไทยก็มีการส่งออกสินค้าไปยังประเทศอื่นเพื่อผลิตส่งออกต่อ เช่นสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ สินค้าที่ใช้เทคโนโลยี ก็จะได้รับผลกระทบ เป็นปัจจัยที่ ธปท.จะต้องติดตามต่อไป

“สงครามการค้าจะส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการลงทุน กระทบความเชื่อมั่นของนักลงทุน ที่จะมีความระมัดระวังในการขยายการผลิต โดยเฉพาะการลงทุนใหม่ๆในต่างประเทศ ส่วนแนวโน้มการส่งออกของไทย จากการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในปีนี้เห็นว่าดีขึ้นเกินคาด จึงมีการปรับประมาณการส่งออกเพิ่มขึ้น แต่ก็ยังมีความเสี่ยงด้านต่ำจากปัญหาสงครามการค้าที่ต้องติดตาม” นายวิรไท กล่าว

ทั้งนี้ แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่ทยอยปรับขึ้น ทำให้เกิดความเสี่ยงกับประเทศเศรษฐกิจใหม่ จากที่อัตราดอกเบี้ยต่ำมาเป็นเวลานานก็มีการก่อหนี้ต่างประเทศสูง เมื่อดอกเบี้ยขึ้นก็เริ่มส่งผลกระทบต่อการชำระหนี้ทั้งภาครัฐและเอกชน ในส่วนของไทยก็มีความระมัดระวังต่อเนื่องและมีกันชนค่อนข้างดี ไม่ได้มีการพึ่งเงินตราต่างประเทศ ก่อหนี้ต่างประเทศไม่สูง และต่างชาติถือครองพันธบัตรไม่มากประมาณ 10% เมื่อเทียบกับประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ที่ถือครองเฉลี่ย 30-40% ทุนสำรองระหว่างประเทศสูงกว่าหนี้ระยะสั้น 3.5 เท่า และดุลบัญชีเดินสะพัดคาดว่าปีนี้จะเกินดุล 4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็น 8-9% ของจีดีพี ทำให้ ธปท. มีความคล่องตัวในการทำนโยบายการเงินเพื่อตอบโจทย์เศรษฐกิจประเทศ

นายวิรไท กล่าวว่า สำหรับการเคลื่อนไหวอัตราแลกเปลี่ยน ไทยมีการใช้ค่าเงินแบบลอยตัว ดังนั้นจึงเป็นเรื่องของปัจจัยต่างประเทศ ซึ่งที่ผ่านมาก็มีการเคลื่อนไหวสอดคล้องกับประเทศเศรษฐกิจใกล้เคียงกับไทย แต่ในระยะต่อไปก็ยังคงมีความผันผวน จึงเน้นย้ำให้ภาคเอกชน ที่มีการทำธุรกิจทำการบริหารความเสี่ยง อย่าชะล่าใจ เพราะ ธปท.จะดูแลแค่ไม่ให้มีการเปลี่ยนแปลงของค่าเงินรวดเร็วเกินไปเท่านั้น

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน